ติดมือถือ โรคน่าห่วงของเด็กยุคใหม่ พฤติกรรมของพ่อแม่ที่เราอาจทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว ให้หน้าจอเป็นพี่เลี้ยงขณะกินข้าว ส่งผลร้ายต่อลูกยังไงกันนะ
ลูก ติดมือถือ เวลากินข้าว หักดิบด้วยวิธีนี้ได้ผล!!
ปัญหาระดับโลก เมื่อเรากำลังก้าวเข้ามาสู่ยุคเทคโนโลยี โลกเสมือนมากขึ้นทุกที หากเราเตรียมตัวไม่พร้อมพอที่จะรับมือการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต ที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทแทนที่หลาย ๆ อย่าง ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดปัญหามากมาย เมื่อบุคคลใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป พึ่งพาการมีสมาร์ทเทคโนโลยีมากจนเกิดปัญหา หรืออาการทางจิตที่กลัวจะถูกแยกออกจากโทรศัพท์ หรือเรียกว่าอาการ Nomophobiaหรือ NO MObile PHOne phoBIA ซึ่งแตกต่างจากการติดโทรศัพท์
ปัจจัยทางจิตวิทยาหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อบุคคลใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป (บุคคลที่มีความนับถือตนเองต่ำสามารถมีบุคลิกออนไลน์ที่ปลอดภัยกว่าหรือบุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบเปิดเผยสามารถแสดงออกมากเกินไป ดังนั้นจึงมีการโต้ตอบบนโซเชียลมีเดียมากเกินไป เป็นต้น) นับวันปัญหานี้กำลังกลายเป็นปัญหาระดับโลก
ติดมือถือ เป็นอย่างไร แบบไหนควรกังวล??
การติดโทรศัพท์ การติดมือถือ คือ การใช้โทรศัพท์มือถือที่มีปัญหา เป็นการเสพติดทางพฤติกรรมที่คล้ายกับการเสพติดอื่นๆ เช่น การติดการพนัน การชอปปิ้ง เกม และการเสพติดอินเทอร์เน็ต หากไม่ป้องกันอาจนำไปสู่ความทุกข์ทรมานทางจิตใจ ร่างกาย และสังคมอย่างรุนแรง
มือถือ หรือสมาร์ทโฟน เป็นเพียงอุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสาร ที่อาจมีความฉลาด ให้ความสะดวกสบายในตัว จนเราอาจติด และพึ่งพามันมากเกินไป เช่น ระบบ GPS นำทาง กล้อง และแอพโซเซียลมีเดียต่างๆ ที่ทำให้เราเข้าถึงสังคมได้ง่าย ๆ เป็นต้น ด้วยความฉลาด และรอบด้านของเจ้าสมาร์ทโฟนทำให้เราไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้ มันยากเหลือเกินที่เราจะเห็นคนบนถนนโดยไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ
อาการโนโมโฟเบีย ติดมือถือ จะเป็นมากกว่าการติดมือถือธรรมดา มันอาจรวมถึงอาการที่รู้สึกว่าเกิดความวิตกกังวล การหายใจเปลี่ยนแปลง การสั่น เหงื่อออก กระสับกระส่าย สับสน และหัวใจเต้นเร็ว เมื่อรู้ว่าตนเองไม่มีสมาร์ทโฟนอยู่ในมือ คิดว่าไม่สามารถทำสิ่งใดต่อไปได้ สิ่งสำคัญในการหยุดยั้งปัญหา คือ ต้องติดตามพฤติกรรมของบุตรหลานและตรวจดูอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
ภายในอาการของโรคโนโมโฟเบียที่กล่าวถึงข้างต้น อาจรวมไปถึงความผิดปกติทางจิตอื่น ๆ เช่น โรคกลัวการเข้าสังคม โรควิตกกังวลทางสังคม และโรคตื่นตระหนกก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน เป็นเรื่องยากมากที่จะแยกแยะว่าผู้ป่วยกลายเป็นโรคกลัวการเกาะติดเนื่องจากการติดโทรศัพท์มือถือหรือโรควิตกกังวลที่มีอยู่ซึ่งแสดงออกมาเป็นอาการโรคกลัวเกาะหรือไม่
เราเสพติด มือถือ ได้อย่างไร??
การเสพติดสมาร์ทโฟนมีสาเหตุหลักมาจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เราใช้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและผู้ใหญ่ที่มีแนวโน้มที่จะใช้สื่อสังคมออนไลน์มากเกินไปอาจต้องเผชิญกับผลกระทบดังกล่าว อีกครั้งมีรูปแบบที่แตกต่างกันเช่นกัน บางคนชอบปฏิสัมพันธ์ที่ได้รับจากโซเชียลมีเดีย พวกเขาชอบถูกติดตามและรับไลค์และรีทวีต ในทางกลับกัน บางคนชอบสอดส่อง พวกเขาตรวจสอบการอัปเดต โพสต์ใหม่ ต้องทันเหตุการณ์ อินเทรนด์อยู่เสมอ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้พวกเขาพัฒนาอาการติดหน้าจอหนักมากขึ้น
ตรรกะเบื้องหลังการติดสมาร์ทโฟน และการติดสารเคมีนั้นค่อนข้างคล้ายกัน เมื่อหน้าจอของเราสว่างขึ้นพร้อมกับการแจ้งเตือนใหม่ สมองของเราจะปล่อยสารโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำให้เรารู้สึกดี ก็เหมือนกับการที่เราได้กินไอศกรีมรสโปรดหรือมีคนกดไลค์เป็นร้อยในโพสต์ โดปามีนช่วยเสริม (และกระตุ้น) พฤติกรรมที่ทำให้เรารู้สึกดีและในเวลาไม่นานก็กลายเป็นการเสพติด
แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีเกณฑ์ในการวินิจฉัยทางคลินิกสำหรับโรคนี้ เราจึงอธิบายได้เพียงว่าเป็นการเสพติด แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาพฤติกรรมการติดหน้าจอ การติดมือถือของเด็กก็มีมากขึ้นอย่างน่ากังวล และพฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างชัดเจน เช่น ปัญหาโรคอ้วน ปัญหาการเข้าสังคม เป็นต้น ดังนั้นปัญหาเหล่านี้จึงควรได้รับการดูแล และจัดการ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่จะต้องรับรู้อาการ และแก้ปัญหาด้วยการเรียนรู้วิธีเลิกติดโทรศัพท์
สถิติการติดมือถือ : ความร้ายแรงของปัญหา
ต่อไปนี้คือสถิติการติดโทรศัพท์มือถือที่จะช่วยให้คุณเข้าใจความร้ายแรงของปัญหาในเรื่องดังกล่าว
- ในปี 2020 ผู้คนกว่า3.5 พันล้านคนมีสมาร์ทโฟน
- ในปี 2019 มีการดาวน์โหลด แอพ 194 พันล้านแอ พ
- ปัจจุบัน 2 ใน 3 ของโลกเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์พกพา
- 58% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนไม่สามารถใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงโดยไม่ดูโทรศัพท์
- ผู้ใช้โดยเฉลี่ยแตะสมาร์ทโฟน2617 ครั้ง และปลดล็อก150 ครั้งต่อวัน
- 45% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนเช็คโทรศัพท์ตอนกลางดึก
- ผู้ใช้สมาร์ทโฟน 71% มักจะนอนโดยมี หรืออยู่ข้างๆ โทรศัพท์มือถือ
- เด็กส่วนใหญ่มีโทรศัพท์มือถือเมื่ออายุเจ็ดขวบ
- Nomophobia เป็นคำพูดของผู้คนในปี 2018
- ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการติดโทรศัพท์มือถือเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามีการใช้สมาร์ทโฟนเป็นจำนวนมาก
เช็กพฤติกรรมคุณ!! เข้าข่ายกลุ่มอาการโนโมโฟเบีย หรือเปล่า??
- พกโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเวลา ต้องคอยคลำกระเป๋ากางเกง หรือกระโปรงตลอดว่ามือถือยังอยู่ข้าง ๆ ตัวหรือไม่
- หมกมุ่นอยู่กับการเช็กข้อความในโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา แม้กระทั่งได้ยินเสียงคล้าย ๆ ข้อความเข้า ถ้าไม่ได้ตรวจดูจะมีอาการกระวนกระวายใจ
- ไม่สามารถทำงานหรือปฎิบัติภารกิจตรงหน้าได้สำเร็จ ต้องดูหน้าจอเพื่อเช็กข้อความก่อน
- ตื่นนอน สิ่งที่ทำก่อน คือ การจับมือถือมาเช็กข้อความ หรือก่อนนอนเล่นจนกระทั่งหลับ
- ใช้โทรศัพท์ระหว่างรับประทานข้าว เข้าห้องน้ำ ขับรถ นั่งรอรถโดยสารประจำทาง และรถไฟฟ้า
4 อาการบ่งชี้ลูกติดมือถือหนัก ต้องบำบัดกับคุณหมอ
การที่ผู้ปกครองจะทราบได้ว่าลูกแค่เล่นมือถือในระดับทั่วไป หรือเข้าขั้นติดหนักและควรเข้ารับการบำบัดจากคุณหมอนั้น มีวิธีสังเกตพฤติกรรมอยู่ด้วยกัน 4 ข้อหลัก ได้แก่
- ไม่สนใจหรือเลิกทำกิจกรรม อื่นๆ ที่เคยชอบ
- ละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบ ไม่สนใจเรียน และกิจวัตรประจำวันอื่นๆ
- ควบคุมเวลาเล่นมือถือของตัวเองไม่ได้ และใช้เวลาในการเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ หลายชั่วโมงต่อวัน
- หงุดหงิด โมโหรุนแรง แสดงอาการก้าวร้าวและต่อต้านในหลายๆ เรื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่การเล่นมือถือ
หลายคนอาจเข้าใจว่าลูกที่ติดมือถือหรือติดเกมจะมีอารมณ์โมโหและหงุดหงิดง่ายเฉพาะเวลาไม่ได้เล่นมือถือเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้ว อารมณ์โมโหรุนแรงจะกระจายไปยังเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันอย่างเห็นได้ชัด รุนแรงที่สุดคือ เด็กอาจทำลายข้าวของและขว้างปาสิ่งของ สามารถทำร้ายหรือชกต่อยพ่อแม่โดยไม่รู้สึกผิด เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แม้จะเกิดปัญหาเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ที่มา : https://www.phyathai.com
อ่านต่อ >>เทคนิคช่วยไม่ให้ ลูกติดมือ ปรับพฤติกรรมวันนี้ก่อนสาย คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่