การพัฒนาสมองคงเป็นเรื่องทางวิชาการล้วน ๆ จะฝึกฝนได้เพียงในห้องเรียน เป็นเพียงหน้าที่ครู แต่รู้ไหมแม่ก็สร้างสมองที่ดีให้ลูกได้ เพียงใช้ เพลงพัฒนาสมอง มาช่วย
เพลงพัฒนาสมอง ช่วยแม่เพิ่มพลังสมองลูกไม่มัวแต่พึ่งครู!!
ในปัจจุบันที่เรามักได้รับข่าวสารเรื่องเกี่ยวกับ การทารุณเด็ก ตีเด็กนักเรียนในห้องเรียน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่กังวลสำหรับคุณพ่อคุณแม่ไม่น้อยเลยทีเดียว สิ่งหนึ่งที่ทำให้เหล่าบรรดาผู้ปกครองเริ่มตระหนักมากขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวเหล่านี้ นั่นคือ การทบทวนความคิดที่ว่า ผู้ปกครองมักฝากฝัง ความหวัง ความสำเร็จ การเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพของสมองของลูกไว้เพียงที่โรงเรียน และมอบให้เป็นหน้าที่ของคุณครูเท่านั้น
กิจวัตรประจำวันของเหล่าบรรดาพ่อแม่ เริ่มจากตื่นเช้ามา ส่งลูกเข้าโรงเรียนให้ทัน และรอรับลูกกลับในตอนเย็น พ่อแม่ไม่เคยใส่ใจในบทเรียน หรือวิธีการสอน การเรียนรู้ที่ทางโรงเรียนมอบให้แก่ลูกของเรา มีเพียงแค่ใส่ใจในเกรดชี้วัด ดูจากคะแนนสอบเท่านั้น เคยถามตัวเองไหมว่าเพียงพอแล้วหรือยัง กับการคาดหวังให้ลูกของเรามีความเก่ง ฉลาด สมองดี กว่าใคร ๆ ในขณะที่เราซึ่งเป็นพ่อเป็นแม่แทบไม่ได้มีบทบาทในการฝึกฝนพวกเขาเลย
พัฒนาการทางสมองของมนุษย์เรานั้นมีความสำคัญในทุก ๆ ช่วงวัย ดังนั้นหากเราละเลยไปไม่ฝึกฝนเขาให้ครบรอบด้านในแต่ละวัย ลูกของเราอาจพลาดช่วงเวลาสำคัญในเพิ่มพลังสมองให้มีพัฒนาการที่ดีสมวัย แบบไม่สามารถเรียกย้อนกลับได้
พลังสมองทั้ง 5 ด้านมีอะไรบ้าง?
เป็นที่ยอมรับกันว่า การเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กด้วยการเพิ่มทักษะที่จำเป็นพื้นฐานในการใช้ในชีวิตประจำวัน จะทำให้เด็กสามารถพัฒนาไปได้ดีกว่า การเรียนรู้แบบเดิมที่ใส่แต่ข้อมูลความรู้เพียงเท่านั้น หนึ่งในทักษะที่จำเป็นพื้นฐานนั้น คือ การพัฒนาสมองของเด็ก โดยเป็นการพัฒนาทักษะในความคิด วิเคราะห์ เป็นการต่อยอดการใช้สมองมาคิดคำนวณปัญหา ประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง ประกอบไปด้วย 5 ด้าน ได้แก่
- สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind)
ในที่นี้จะหมายถึง การมีความรู้ มีทักษะ อธิบายได้ว่า การที่เด็กสามารถเรียนรู้แก่นสาระของความรู้นั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ เป็นการรู้ลึก รู้จริง จนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ มิใช่เป็นเพียงการรู้แบบท่องจำ จดจำแบบผิวเผินเท่านั้น
- สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind)
เป็นการประมวลผลข้อมูลที่ตนได้เรียนรู้ กลั่นกรองส่วนที่สำคัญ และนำมาจัดระบบนำเสนอใหม่ได้ในแบบของตน การฝึกสมองด้านการสังเคราะห์นี้ จะเน้นเรื่องการปฎิบัติมากกว่าทฤษฎี เพราะเป็นการนำเอาทฤษฎีออกมาสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้ได้ด้วยเหมือนกันนั่นเอง
- สมองด้านสร้างสรรค์ (creating mind)
เป็นทักษะที่คนไทยขาดที่สุด โดยคุณสมบัติสำคัญที่สุดของสมองสร้างสรรค์คือ คิดนอกกรอบ แต่คนเราจะคิดนอกกรอบเก่งได้ต้องเก่งความรู้ในกรอบเสียก่อน แล้วจึงคิดออกไปนอกกรอบนั้น ถ้าคิดนอกกรอบโดยไม่มีความรู้ในกรอบเรียกว่า คิดเลื่อนลอย คนที่มีความรู้และทักษะอย่างดีเรียกว่า ผู้เชี่ยวชาญ ต่างจากผู้สร้างสรรค์ตรงที่ผู้สร้างสรรค์ทำสิ่งใหม่ ๆ ออกไปนอกขอบเขตหรือวิธีการเดิม ๆ โดยมีจินตนาการแหวกแนวไป และการสร้างสรรค์ต้องใช้สมองหรือทักษะอื่น ๆ ทุกด้านมาประกอบกันการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ความสร้างสรรค์นั้นเรียนรู้หรือฝึกได้ ศัตรูสำคัญที่สุดของความคิดสร้างสรรค์ คือ การเรียนแบบท่องจำ เปรียบเทียบสมอง ๓ แบบข้างต้นได้ว่า สมองด้านวิชาและวินัยเน้น ความลึก (depth) สมองด้านการสังเคราะห์เน้นความกว้าง (breath) และสมองด้านสร้างสรรค์เน้นการขยายหรือฝืน (stretch)
- สมองด้านเคารพให้เกียรติ (respectful mind)
ปัจจุบันคนติดต่อกันได้ง่ายขึ้น เราจึงสามารถพบปะผู้คนได้หลากหลาย ทั้งต่างเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความคิด และความหลากหลายทางกายภาพอื่น ๆ เช่น ความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น ดังนั้นการสอนเด็กให้ให้ความสำคัญกับการเคารพให้เกียรติความแตกต่างกัน นอกจากจะทำให้สังคมอยู่กันได้อย่างสงบสุขแล้ว ยังไม่เป็นการสร้างอคติปิดกั้นการเรียนรู้ของสมองอีกด้วย เด็กจะสามารถยอมรับในองค์ความรู้ของคนทุกคน ทุกความแตกต่างได้อย่างสนิทใจ ยิ่งเป็นการต่อยอดพัฒนาโลกให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
- สมองด้านจริยธรรม (ethical mind)
สมองด้านจริยธรรมได้รับการปลูกฝังกล่อมเกลามาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เรื่อยมาจนโต และเชื่อว่าเรียนรู้พัฒนาได้จนสูงวัยและตลอดอายุขัย เป็นทักษะทางนามธรรม เป็นสมองส่วนที่ไว้ควบคุมสัญชาตญาณดิบของคนเราให้แสดงออกมาอย่างถูกต้องตามแบบที่สังคมยอมรับ
การพัฒนาสมอง 5 ด้าน ไม่ดำเนินการแบบแยกส่วนแต่เรียนรู้ทุกด้านไปพร้อม ๆ กัน หรือที่เรียกว่า เรียนรู้แบบบูรณาการ เราต้องทำหน้าที่ออกแบบการเรียนรู้ และช่วยเป็นโค้ชให้แก่เด็ก ครูที่เก่งและเอาใจใส่จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้ลึกและเชื่อมโยงกันได้ นั่นคือเขาจะมี มิติทางปัญญา แต่จะดีกว่าไหมหากพ่อแม่จะเป็นคนสร้างการเรียนรู้เหล่านั้นขึ้นมาได้เอง โดยไม่ต้องลุ้น หรือหวังพึ่งแต่ครูเพียงอย่างเดียว การที่ลูกสามารถเตรียมพร้อมพื้นฐานการเรียนรู้ได้ก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการฝึกฝนอีกครั้งจากทางโรงเรียนก็จะยิ่งเป็นการเติมเต็มให้กับลูกมากยิ่งขึ้นไปอีก
5 ส่วนของสมองมีหน้าที่อย่างไร?
สมองของคนเรามี 5 ส่วนหลัก ๆ ซึ่งแต่ละส่วนเป็นพื้นฐานของการต่อยอดทางความรู้ การเรียน และรับสิ่งใหม่เพิ่มเติม พื้นฐานของสมองยิ่งดีเท่าไหร่ ก็จะสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ไวมากขึ้นเท่านั้น
สมองทั้ง 5 ส่วนควบคุมวิธีการในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ สมองจะเป็นตัวตัดสินว่า ในการเรียนรู้อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ต้องใช้ความสามารถทางด้านใดบ้างเพื่อให้ได้รับและใช้ประโยชน์จากการเรียน ส่วนความรู้คือ “สิ่งที่ได้เรียนมา” เป็นตัวบอกว่าเราได้เรียนรู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการ ภาษาหรือเทคนิคต่าง ๆ ในชีวิต สรุปได้ว่าพื้นฐานของสมองทั้ง 5 ส่วนนั้นเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดศักยภาพในการเรียนรู้และนำความรู้ที่เราจำเป็นต้องศึกษามาใช้ในชีวิตประจำวัน หากพื้นฐานดังกล่าวแข็งแรง ย่อมก่อให้เกิดการเรียนสิ่งใหม่ ๆ ได้ดีและต่อยอดทักษะด้านการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
เพลงพัฒนาสมองได้อย่างไรบ้าง ?
เมื่อคุณพ่อคุณแม่เข้าใจหลักการทำงานของสมอง และพลังทั้ง 5 ด้านของสมองกันแล้ว นอกจากการช่วยหากิจกรรมที่จะมาส่งเสริมทักษะต่าง ๆ เหล่านั้นเพิ่มนอกห้องเรียนแล้ว การที่เราจะมาเตรียมพร้อมสมองของลูกด้วยสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว อย่างเช่น เพลงเพราะ ๆ สักเพลง ก็ยิ่งทำให้สมองของลูกพร้อมสำหรับการเรียนรู้ยิ่งขึ้น ซึ่งเพลงพัฒนาสมองนั้นมีการศึกษาวิจัยบางส่วนกล่าวถึงประโยชน์ของเสียงเพลงที่ส่งผลดีต่อสมองไว้ ดังนี้
การเรียนดนตรีทำให้ฉลาดยิ่งขึ้น
คนที่เรียนดนตรีมักเก่งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือวิศวกรรมศาสตร์เมื่อมีอายุมากขึ้น เพราะการเรียนดนตรีช่วยให้สมองได้ฝึกแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม จังหวะและเวลานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยหากเริ่มเรียนดนตรีตั้งแต่เด็กจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น เพราะอาจเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนาและก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ยิ่งบทเรียนนั้นเข้มข้นมาก สมองก็จะยิ่งพัฒนามากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ก็อาจได้รับประโยชน์จากการเรียนดนตรีได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่หมั่นใช้งานสมองส่วนความจำระยะสั้นที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ความเข้าใจ และการใช้เหตุผล ก็อาจช่วยให้ระบบการเรียนรู้ในสมองเสื่อมสภาพช้าลงได้
การเล่นดนตรีช่วยเพิ่มความจำ
การเล่นดนตรีช่วยให้จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และยังช่วยรักษาความทรงจำให้คงอยู่เมื่อมีอายุมากขึ้นด้วย โดยการทำกิจกรรมที่ซับซ้อนอย่างการอ่านโน้ตดนตรี หรือการวางมือบนสายเครื่องดนตรี จะช่วยเพิ่มความจุของความจำระยะสั้นให้กับสมอง และเมื่อเวลาผ่านไป สมองจะเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานหลายอย่างไปพร้อมกันโดยไม่รู้สึกว่าข้อมูลล้นจนเกินไป รวมถึงช่วยให้สมองจดจำข้อมูลได้นานขึ้นด้วย นอกจากนี้ การเล่นดนตรีเป็นกลุ่มยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแยกแยะข้อมูลเล็ก ๆ ในพื้นที่ที่ซับซ้อนภายในสมองอีกด้วย ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในระยะยาวได้
ฟังเพลงอย่างไรให้เกิดประโยชน์ ?
- ชื่นชอบก็ไม่ต้องบังคับ การเลือกเพลงเพื่อพัฒนาสมองให้ลูกควรเลือกฟังเพลงตามแนวที่ลูกชื่นชอบ เพราะจะทำให้เขาอยากฟัง สนใจ
- ฟังแบบสุ่มเพลงบ้าง อย่าตายตัว โดยอาจใช้หูฟังคู่ใจเพื่อฟังเพลงโปรดเหล่านั้นพร้อมกับฟังเพลงแบบสุ่มไปด้วย เพราะการฟังเพลงแบบสุ่มจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขอย่างโดพามีนออกมา
- เพลงแจ๊ส ฟังง่ายรื่นหูอย่างเพลงแจ๊สก็ฟังได้ เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่า การฟังเพลงแจ๊สช่วยเพิ่มสารเอ็นดอร์ฟิน และ สารอิมมูโนโกลบูลิน ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในร่างกาย
- ดนตรีออร์เคสตรา เพราะนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าดนตรีออร์เคสตราช่วยให้ผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมมีความมั่นใจในตนเองและอารมณ์ดีขึ้น ดังนั้นถ้าคนปกติฟังก็ยิ่งทำให้ผลที่ได้รับดีขึ้นไปอีก
- เพลงคลาสสิค เพลงเบา ๆ สบาย ๆ อย่างเพลงคลาสสิค นอกจากจะช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรช้าลง ช่วยลดความดันโลหิต และลดฮอร์โมนความเครียดได้ ทำให้สมองได้พักผ่อน
อ่านต่อ 20 เนื้อเพลงกล่อมเด็กพัฒนาสมองุ
อย่างไรก็ตามมีข้อควรระวังสำหรับการฟังเพลงพัฒนาสมองสำหรับเด็ก 2 ข้อดังนี้
- ไม่ควรฟังเพลงในระดับเสียงที่ดังเกินไป เพราะอาจทำให้สูญเสียการได้ยิน
- ไม่ควรให้เด็กทารกฟังเพลงจากหูฟัง เพราะสมองของเด็กยังไม่พร้อมที่จะรับคลื่นเสียงที่มีความเข้มข้นสูง แต่หากต้องการให้ทารกได้ยินเสียงเพลง คุณแม่ควรร้องเพลงให้เด็กฟังด้วยตัวเองแทนจะดีที่สุด
อ่านต่อ ดนตรีพัฒนาสมอง เพิ่มทักษะการเรียนรู้ให้ลูกน้อย
อ่านต่อ 10 เพลงกล่อมนอน 10 นาที ช่วยให้ลูกหลับปุ๋ยฝันดีตลอดคืน
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก Pobpad / Sanook / Brainfit
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่