5 ขั้นตอนการดุลูก สอนลูกอย่างไร ไม่ส่งผลต่อพัฒนาการ
อย่างที่เห็นแล้วว่า การดุลูกและการสอนลูกไม่ให้ทำพฤติกรรมที่ไม่ดีนั้น ไม่ควรดุด้วยอารมณ์หรือน้ำเสียงที่ดูคุกคามข่มขู่ เพราะนอกจากไม่ได้ผลแล้ว ยังมีผลเสียต่อลูกอีกต่างหาก แต่จะดุลูกอย่างไร ถึงจะให้ลูกได้รู้จักปรับปรุงตัวเพื่อให้ตนเองมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีขั้นตอนในการดุลูกอย่างมีชั้นเชิงและการ สอนลูกอย่างไร ไม่ส่งผลต่อพัฒนาการมาฝากกันค่ะ
-
สงบสติอารมณ์ของตนเอง
การที่ลูกมีพฤติกรรมที่ไม่ดี ย่อมทำให้คุณพ่อคุณแม่โกรธเป็นธรรมดา แต่หากคุณพ่อคุณแม่ดุลูกในขณะที่ตนเองยังมีอารมณ์โกรธอยู่นั้น จะยิ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่เผลอตะคอกใส่ลูก หรือใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมและทำร้ายจิตใจลูกได้โดยง่าย ๆ ส่งผลให้ตัวคุณพ่อคุณแม่เอง เสียใจต่อการกระทำและคำพูดของตนเองหลังจากที่ได้ดุหรือทำโทษลูกไป ดังนั้น หากรู้ตัวเองว่ากำลังโมโหอยู่ ควรหยุดเพื่อสงบสติอารมณ์ตนเองก่อนที่จะดุลูก โดยคุณแม่อาจจะใช้วิธีเดินหนีไปก่อน เพื่อให้ทั้งลูกและตนเองได้สงบสติอารมณ์กันก่อน แล้วค่อยเริ่มการดุและคุยกันด้วยเหตุผล
2. ไม่ตะคอก ไม่ขู่ ไม่ทำให้ขายหน้า
การดุคือการสอน การใช้เสียงดังเพื่อข่มให้ลูกกลัวและฟังสิ่งที่ตนเองกำลังพูด ไม่ได้ช่วยให้ลูกยอมรับฟังเหตุผลของคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเต็มใจ การขู่ลูกว่าหากทำเช่นนี้แล้วจะทำให้ผีมาหลอก ตำรวจมาจับ ตุ๊กแกมากินตับ ก็ไม่ได้ช่วยให้ลูกเข้าใจเหตุผลที่ตนเองถูกดุที่แท้จริงด้วยเช่นกัน การที่ลูกหยุดทำพฤติกรรมที่ไม่ดีเพราะการขู่นั้น เป็นเพราะลูกกลัวสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ขู่ ไม่ได้หยุดเพราะเข้าใจว่ากำลังทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และสำหรับการดุลูกต่อหน้าคนนอื่นนั้น จะทำให้ลูกเสียหน้า ขาดความมั่นใจ รู้สึกอาย และรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ให้เกียรติ จนไม่อยากรับฟังในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พยายามสอน แม้ว่าจะเป็นคำสอนที่ดีขนาดไหนก็ตาม (อ่านต่อ Self Esteem การเห็นคุณค่าในตนเอง สิ่งสำคัญที่ต้องสร้างให้ลูก)
3. ตำหนิที่การกระทำ ไม่ใช่ที่ตัวลูก
คุณพ่อคุณแม่ต้องแยกระหว่างการกระทำของลูกและตัวลูก ก่อนที่ลูกจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ลูกก็เป็นเด็กดี เชื่อฟัง ดังนั้นการดุว่า ทำไม่เป็นเด็กเกเรอย่างนี้ ทำไมเป็นคนไม่ดีอย่างนี้ ลูกแย่มากที่พูดจาอย่างนี้ คำพูดเหล่านี้ ล้วนเป็นการตำหนิที่ตัวลูก ว่าเป็นคนไม่ดี ไม่เป็นที่รักของพ่อแม่ คำพูดเหล่านี้ก็เหมือนคำที่มาตอกย้ำให้ลูกไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง สูญเสียความมั่นใจ ไม่มีกำลังใจในการปรับปรุงตัว
แต่หากคุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนมาตำหนิที่การกระทำของลูก เช่น “แม่ไม่ชอบที่ลูกแกล้งน้อง” หรือ “แม่ไม่ชอบที่ลูกพูดคำหยาบ” ทำให้ลูกรับรู้ว่า การกระทำนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ชอบ ไม่ยอมรับ และจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น
4. รับฟังเหตุผลและถามความคิดเห็นในมุมมองของลูก
การเป็นผู้ใหญ่ บางทีก็อาจมองข้ามเหตุผลสำคัญของเด็กไป จึงอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจว่าที่ลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นเพราะอะไร เลยด่วยตัดสินลูกว่าสิ่งที่ลูกทำอยู่นั้นไม่ถูกต้อง จะต้องได้รับการลงโทษเท่านั้น การไม่รับฟังความคิดเห็นของลูก นั้นจะทำให้ลูกต่อต้านอยู่ในใจ และไม่อยากอธิบายหรือเล่าอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ฟังอีกเลย เพราะหากเล่าหรือพูดไปก็จะโดนดุอีก และการที่ลูกไม่อยากอธิบายหรือเล่าอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง ย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ครอบครัวในระยะยาวอย่างแน่นอน ดังนั้นการรับฟังเหตุผลและความคิดเห็นในมุมมองของลูก จะทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจว่า ลูกมีเหตุผลจูงใจอะไรให้ทำพฤติกรรมที่ไม่ดี เมื่อรับฟังเหตุผลของลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ควรอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมถึงห้ามไม่ให้ทำพฤติกรรมเหล่านี้ ลูกจะได้เข้าใจและไม่ทำอีก
5. ร่วมกันแก้ไขปัญหาและแนะแนวทางที่ถูกต้อง
เมื่อเข้าใจเหตุผลกันแล้ว ลูกจะยังไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขพฤติกรรมตนเองไปทางไหนเพื่อไม่ให้ถูกดุ คุณพ่อคุณแม่ลองบอกแนวทางว่าในครั้งต่อไป หากลูกเจอเหตุการณ์อย่างนี้อีก ควรจะทำตัวอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกคนโตลงมือตีน้อง แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะบอกกับลูกว่า ห้ามตีน้อง ลองบอกทางแก้ปัญหาให้ลูก เช่น “ลูกไม่จำเป็นต้องตีน้อง ต่อไปนี้ถ้าน้องทำอะไรให้หนูไม่พอใจให้มาบอกแม่” เพราะการห้ามลูกโดยไม่บอกวิธีการแก้ปัญหา เมื่อลูกไม่พอใจน้อง ก็จะตีน้องอีก
หากคุณพ่อคุณแม่ทำตามขั้นตอนที่กล่าวไปนี้ ก็จะช่วยให้ลูกปรับปรุงตัวอย่างเต็มใจและยังช่วยให้ลูกมีพัฒนาการและพฤติกรรมไปในทางที่ดีได้อีกด้วย
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
วิจัยชี้ พ่อแม่ระวัง! ตะคอกใส่ลูก ทำลายสมอง ลูกโตไปเป็นเด็กมีปัญหา
วิธีการสอนลูกให้มีคุณภาพ…ของลี กาชิง เศรษฐีอันดับ 1 ของฮ่องกง
10 แบบอย่างที่ดี ที่พ่อแม่ควรทำให้ลูกเห็น
เลี้ยงลูกแบบเพื่อน 6 เทคนิคดี ได้ทั้งใจลูก และไร้ปัญหาแน่นอน!
ขอบคุณข้อมูลจาก : มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่