แอบส่อง..โซนใหม่! บ้านต้นไม้ ยกออกมาจากนิทานให้เด็กๆ ได้สัมผัส ในงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 20

เด็กๆ ห้ามพลาด!! แอบส่อง..โซนใหม่! บ้านต้นไม้ กับคุณลุงตุ่น นิทรรศการหนังสือเด็ก ในงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 20

120 ชื่อภาษาอังกฤษ ผู้ชาย เพราะๆ เท่ๆ

ครอบครัวที่กำลังจะมีลูกชาย และกำลังคิดจะตั้งชื่อให้ลูก แต่ยังไม่รู้จะตั้งชื่อภาษาอะไรดี มาลองดู ชื่อภาษาอังกฤษ ผู้ชาย เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจกันค่ะ

ตามติด 3 ภารกิจสุดน่ารักของครอบครัวหนู กับนิทานหนู14ตัว

ตามติด 3 ภารกิจสุดน่ารักของครอบครัวหนู 14 ตัว ได้แก่ ย้ายบ้าน ทำอาหารเช้า และซักผ้า ซึ่งสมาชิกในครอบครัวทุกตัวต้องช่วยกันวางแผนและทำงานต่างๆ ให้สำเร็จ!

บ้านต้นไม้10ชั้น นิทานที่ใครๆ ก็หลงรัก

นิทานชุด บ้านต้นไม้10ชั้น นิทานที่ใครๆ ก็หลงรัก เป็นเรื่องราวของสัตว์ชนิดต่างๆ ที่เข้ามาเป็นสมาชิกบ้านต้นไม้ และทุกตัวต่างมอบความรักและความอบอุ่นต่อกัน 

ชวนแม่โหลดฟรี นิทานพี่ข้าวสวย-น้องข้าวต้ม รับมือ โรคติดต่อ หลังเปิดเทอม

นอกจากโควิด-19 ที่เราต้องเฝ้าระวังแล้ว ยังมีโรคร้ายที่คอยทำร้ายสุขภาพของเด็กอีกหลายโรค มาดูกันว่ามี โรคติดต่อ ยอดฮิตอะไรที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเฝ้าระวังบ้าง

เรียนรู้ธรรมชาติจากนิทานบ้านลอยฟ้า 100 ชั้น

เมื่อหนังสือบ้าน 100 ชั้น พาเด็กๆ สำรวจและผจญภัย พบเพื่อนใหม่บนฟ้า สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ได้รู้จักแมงมุม ค้างคาวและสัตว์ตัวอื่นๆ แล้ว ตามด้วยหนังสือบ้านใต้ดิน 100 ชั้นที่พาไปตะลุยและผจญภัยสู่ใต้ดิน ไปพบว่าลึกลงไปใต้ดินมีสัตว์ชนิดไหนอาศัยอยู่บ้างนะ และสนุกกับภาพสีสันสดใสของบ้านใต้ทะเล 100 ชั้น ออกตามหาสิ่งของที่หายไป เรียนรู้การแบ่งปันและแลกเปลี่ยน กับบรรดาเพื่อนใต้ทะเล ไม่ว่าจะเป็นคุณโลมา คุณปลาหมึกยักษ์ ฯลฯ จากบ้าน 100 ชั้น  บ้านใต้ดิน 100 ชั้น และบ้านใต้ทะเล 100 ชั้น ที่ชวนให้เด็กๆ สนุกกับการสังเกตในบ้านแต่ละชั้น ได้เรียนรู้สัตว์ เรียนรู้การปฏิบัติตนต่อผู้อื่น เรียนรู้การแลกเปลี่ยนแบ่งปัน เรียนรู้ที่จะวางแผนและมุ่งเป้าหมายกันมาแล้ว การผญจภัยครั้งใหม่ที่จะทำให้เด็กๆ สนุกกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็กลับมาอีกครั้ง … คราวนี้เป็นการผจญภัยขึ้นไปบนบ้านลอยฟ้า 100 ชั้น! เรื่องราวของเล่มนี้เกิดขึ้นท่ามกลางฤดูหนาว นกติ๊ดตัวจ้อยชื่อ จิ๊บคุง ออกหาอาหารจนเจอเมล็ดทานตะวัน แต่เมล็ดทานตะวันเล็กนิดเดียว กินไม่อิ่ม จิ๊บคุงอยากกินเยอะๆ เขาจึงจะปลูกเมล็ดทานตะวันเมล็ดนั้น แต่จะปลูกที่ไหนดีนะ […]

เรียนรู้ความแตกต่างแต่อยู่ร่วมกันได้ ผ่านนิทานเอลเมอร์กับโรส

เชื่อไหมว่าเราทุกคนล้วนมีความน่ารักในแบบของตัวเองกันทั้งนั้น  ไม่ว่าเราจะเป็นแบบไหนก็ตาม เอลเมอร์และวิลเบอร์ ได้เรียนรู้เรื่อง “ความน่ารัก” ของผู้อื่น ที่ “ไม่เหมือนกับตัวเอง” และได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง เอลเมอรกับโรส เรื่องและภาพ เดวิด แมกคี แปล พี่นานะ   เรื่องราวของ เอลเมอร์ ช้างลายตารางหลากสี กับเพื่อนของเขาที่ชื่อ วิลเบอร์ พวกเขาอาศัยอยู่ในโขลงช้าง ที่มี “สีแบบช้าง” อย่างสงบสุขและสนุกสนาน แต่แล้ววันหนึ่ง ช้างลายตารางหลากสีที่เราเห็นว่าเขา “ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น” ก็ได้เจอเพื่อนใหม่ ที่มี “ความไม่เหมือน” และ “แตกต่าง” ไม่แพ้ตัวเขาเอง เพื่อนใหม่ของเอลเมอร์ ชื่อ โรส  ช้างสีชมพูตัวเล็กที่มีชื่อเหมือนกับ สี ในตอนแรกเอลเมอร์รู้สึกตกใจและแปลกใจกับความ “แปลก” ของโรสอยู่ไม่น้อย (รวมถึงเพื่อนช้างตัวอื่นที่บังเอิญมาเจอโรสด้วย)   โรสพลัดหลงกับโขลงจนมาเจอกับคุณตาเอลโด คุณตาจึงให้เอลเมอร์และวิลเบอร์พาโรสกลับไปส่งที่โขลง  ระหว่างทางพวกเขาเล่นด้วยกัน จนกระทั่งส่งโรสถึงโขลงอย่างปลอดภัย เอลเมอร์กับวิลเบอร์จึงได้เข้าใจว่า  ที่พวกเขาบอกว่าโรส “แปลก” นั้น จริงๆ แล้วโรสไม่ได้แปลก เพราะช้างตัวอื่นๆ […]

เสริมทักษะความจำเพื่อใช้งานกับนิทานเรื่อง คุณช้างอยู่ไหนนะ คุณดาวทะเลอยู่ไหนนะ กันเถอะ !

 คุณช้างอยู่ที่ไหนนะ , คุณดาวทะเลอยู่ที่ไหนนะ เรื่องและภาพ บาร์โรซ์ แปล พี่ข้าวตู เมื่อขึ้นชื่อว่า นิทาน หลายคนคงนึกถึงหนังสือที่มีภาพและคำ รวมถึงเรื่องสนุกๆ เมื่ออ่านแล้วเกิดจินตนาการและได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับตัวละคร แต่จริงๆ  แล้ว นิทาน อาจเป็นหนังสือที่มีคำไม่เยอะมาก แต่ใช้ภาพประกอบในการเล่าเรื่องเป็นหลักก็ได้ คล้ายกับคำที่ว่า ให้ภาพเล่าเรื่อง นิทานเรื่อง คุณช้างอยู่ไหนนะ คุณดาวทะเลอยู่ไหนนะ ก็เป็นนิทานภาพสำหรับเด็กที่ไม่ได้มีคำในการเล่าเรื่องเยอะ แต่ใช้ภาพในการเล่าเรื่องเสียมากกว่า อีกทั้งยังเล่าเรื่องกึ่งเกมอีกด้วย เพราะนิทานเรื่องนี้มีประโยคสั้นๆ เล่มละ 3 ประโยคเท่านั้น คือ คุณช้างอยู่ที่ไหนนะ คุณนกแก้วอยู่ที่ไหนนะ คุณงูอยู่ที่ไหนนะ คุณดาวทะเลอยู่ที่ไหนนะ คุณแมงกะพรุนอยู่ที่ไหนนะ คุณปลาการ์ตูนอยู่ที่ไหนนะ เปิดเรื่องด้วยตัวละครเด่น 3 ตัว พร้อมคำถามว่า สัตว์ทั้ง 3 ตัวนั้นอยู่ไหน แล้วก็ให้เด็กๆ ได้มองหา เมื่อเปิดหน้าถัดไป ภาพก็เริ่มเล่าเรื่องไปพร้อมกับการได้สังเกตภาพ เด็กๆ จะได้สังเกตและเรียนรู้เรื่องผ่านภาพอย่างชัดเจนผ่านนิทานเล่มนี้ เพราะภาพแต่ละหน้ามีความเคลื่อนไหว และมีเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหน้าสุดท้าย ซึ่งการสังเกต มองหา […]

พัฒนาทักษะสมอง EF ให้ลูกน้อย สร้างความสุขและความสำเร็จให้ลูกได้จริง

“EF หรือ Executive Function คือ ความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย… เป้าหมายเป็นสิ่งที่เด็กกำหนดเอง มิใช่พ่อแม่กำหนด ศตวรรษที่ผ่านมาพ่อแม่อาจจะช่วยกำหนดได้ โตขึ้นให้เป็นอะไร ทำอาชีพอะไร แต่ศตวรรษที่ 21 ซับซ้อนเกินกว่าที่พ่อแม่จะกำหนดได้ เราต้องการให้เด็กมีทักษะสมอง EF ที่ดีเพื่อกำหนดเป้าหมายในชีวิตของตนเอง” — นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ — ความสำเร็จในชีวิตลูกไม่ได้อยู่ที่การได้คะแนนสอบสูง ทำงานตำแหน่งใหญ่โต หรือมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย แต่คือการเติบโตอย่างมีความสุขบนเส้นทางของลูกแต่ละคน สามารถที่จะดูแลตัวเองและช่วยเหลือคนรอบข้างได้ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็มาจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ และทักษะสมอง EF ที่ดี   เราจึงอยากชวนคุณพ่อคุณแม่ มาทำความรู้จ้ก 8 แนวทางเพื่อฝึกทักษะสมอง EF ให้ลูกน้อย จากคิม มูกี ผู้เขียนหนังสือ สอนลูกให้ได้ดีและมีความสุข (สนพ.แพรวเพื่อนเด็ก) เสริมสร้างภาวะผู้นำ สามารถกำหนดเป้าหมายในชีวิตของตัวเองได้เป็นอย่างดีในอนาคต และมีความสุขไปตลอดชีวิต ให้อิสระลูกค้นหาตัวเอง การให้ลูกค้นหาตัวตน ค้นหาสิ่งที่สำคัญ ค้นหาสิ่งที่ชอบ และการปลูกฝังให้ลูกสามารถพิจารณาตัดสินเรื่องต่างๆได้นั้น สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องล่อยให้ลูกค้นหาสิ่งที่เขาชื่นชอบอย่างอิสระ ถ้าพ่อแม่เป็นคนกำหนดกะเกณฑ์ แล้วลูกทำตามไปเสียทุกเรื่อง สุดท้ายเขาจะกลายเป็นเด็กที่ยึดติดคนรอบข้าง […]

ความสามัคคีจากเรื่อง หัวผักกาดยักษ์

ฮุยเลฮุย เอ้า ฮุยเลฮุย ฮึบ…  คำสั้นๆ ที่มีอยู่แทบทุกหน้าในเรื่อง หัวผักกาดยักษ์ ทำให้เด็กๆ จำได้ง่ายและสนุกที่จะทำท่าทางตาม นิทานภาพเรื่องหัวผักกาดยักษ์ ของ อเล็กเซ ตอลสตอย เป็นนิทานคลาสสิกที่อยู่คู่แพรวเพื่อนเด็กมาอย่างยาวนาน ด้วยเนื้อเรื่องที่สนุกสนานและภาพที่เข้าใจง่าย ทำให้เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่พ่อแม่จะเลือกซื้อให้ลูกอ่านอยู่เสมอ แต่รู้มั้ยคะว่าเนื้อเรื่องที่เรียบง่ายแบบนั้นแฝงเรื่องที่สำคัญไว้นั่นคือ “ความสามัคคี” อาจจะเป็นเรื่องที่ดูยากเมื่อต้องสอนเรื่องความสามัคคีให้ลูก แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยกนิทานเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านให้ลูกๆ ฟัง เด็กจะเข้าใจเรื่องที่ต้องการบอกได้ผ่านคอนเซ็ปต์ง่ายๆ ของเนื้อเรื่องที่เล่าอย่างเรียบง่ายว่า คุณตาเจอหัวผักกาดยักษ์ แต่คุณตาดึงคนเดียวไม่ไหว ต้องให้คุณยายมาช่วย หลานมาช่วย หมามาช่วย และให้แมวกับหนูมาช่วย เมื่อทุกคนออกแรงช่วยกัน ก็สามารถดึงหัวผักกาดขนาดยักษ์ออกมาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานของ “ความสามัคคี” แม้เด็กเล็กจะยังไม่รู้จักคำนี้ แต่ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า “ถ้าพวกเราร่วมมือช่วยกัน จะทำทุกอย่างสำเร็จได้แน่นอน” หัวผักกาดยักษ์ เรื่อง อเล็กเซ ตอลสตอย ภาพ ชูเรียว ซาโต้ เรื่องภาษาไทย พรอนงค์ นิยมค้า

เรียนรู้การแก้ไขปัญหาในสถานการณ์เหนือการคาดเดา ผ่านนิทานเรื่อง ก๊อก ก๊อก ขอค้างคืนหนึ่งนะ

เรื่องราวของหนูสามตัวที่ออกมาเดินเที่ยวเล่นในป่า แต่ทว่าขากลับเกิดหลงทาง หมอกก็ลงหนาขึ้นทุกที  หนูสามตัวจึงตัดสินใจจะค้างคืนที่บ้านหลังหนึ่ง ก๊อก ก๊อก ขอค้างคืนหนึ่งนะ เป็นนิทานที่เด็กๆ หลายคนชื่นชอบ เพราะทั้งตื่นเต้นชวนลุ้น ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น ด้วยเรื่องและภาพ สัตว์เล็กๆ ในเรื่องเปรียบเสมือนเด็กๆ ที่ต้องการความอบอุ่นและปลอดภัย  ส่วนลุงหมีก็อาจเปรียบได้กับผู้ใหญ่ที่ใจดีแบ่งปันความอบอุ่นและอ่อนโยนให้  นอกจากนั้น นิทานเรื่อง ก๊อก ก๊อก ขอค้างคืนหนึ่งนะ ยังแสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ ด้วย 1.เรียนรู้การแก้ไขปัญหา หนูสามตัวหลงทาง กลับบ้านไม่ได้ หมอกก็ลงหนา จะทำอย่างไรดีนะ  การที่หนูตัดสินใจจะค้างบ้านหลังหนึ่งกลางป่า เป็นการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในขณะนั้นๆ หนูสามตัวอาจเปรียบได้กับเด็กๆ ที่บางครั้งอาจพบปัญหา และต้องแก้ไขปัญหานั้นด้วยตัวเอง  การกล้าที่จะเผชิญปัญหา หรือพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหา เป็นจุดเริ่มต้นให้เด็กๆ ได้เรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดค่ะ 2.เรียนรู้เรื่องมารยาท เมื่อตัดสินใจที่จะค้างคืนที่บ้านหลังนี้แล้ว แม้ว่าจะกล้าๆ กลัวๆ มีความไม่มั่นใจไปบ้าง แต่หนูสามตัวกลับไม่ลืมที่จะขออนุญาต ก่อนที่เข้าไปในบ้าน  นอกจากนั้นเมื่อเข้าไปแล้ว ยังรู้สึกกังวลใจว่า การค้างคืนโดยไม่บอกเจ้าของ คงไม่ดี อีกด้วย หนูสามตัวแสดงให้เห็นว่า การขออนุญาตก่อน เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ  อีกทั้งเมื่อสัตว์ตัวอื่นๆ เดินทางมาที่บ้านหลังนี้ ทุกตัวล้วนแต่เคาะประตูเพื่อ […]

“หนอนจอมหิว” นิทานที่มีเรื่องราวมากกว่าการเติบโตของหนอนหนึ่งตัว

นิทานเรื่อง หนอนจอมหิว นิทานที่มีอายุกว่า 48 ปี (ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1969) ได้รับการแปลกว่า 62 ภาษาทั่วโลก และขายได้กว่า 30 ล้านเล่ม ทำไมนิทานเรื่องนี้จึงได้รับความนิยมและได้รับการยอมรับมากขนาดนี้กันนะ นิทานเรื่อง หนอนจอมหิว เรื่องและภาพโดย อีริค คาร์ล (Eric Carle) เรื่องราวของหนอนตัวหนึ่งที่ออกจากไข่ และกินทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะมันหิวมาก มันจึงกินมาก มันกินทั้งสัปดาห์ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ไม่ได้หยุดกินเลย เจ้าหนอนตัวนี้กินเก่งสมกับเป็น หนอนจอมหิว เสียจริง นิทานเรื่องนี้มีภาพประกอบสีสันสดใส ภาพใหญ่ปะทะสายตา อีกทั้งเทคนิคภาพตัดปะยังทำให้เด็กๆ ได้เห็นพื้นผิวของภาพที่แตกต่างกันด้วย นอกจากนั้นยังมีการเจาะรู เพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้นถูกเจ้าหนอนหม่ำไปแล้ว! ด้วยเนื้อเรื่องที่สนุก น่าติดตาม จึงไม่น่าแปลกใจที่เด็กๆ จะชอบนิทานเรื่องนี้ เพราะอยากรู้เหลือเกินว่า เจ้าหนอนจอมหิวตัวนี้จะกินอีกเยอะแค่ไหน แล้วสุดท้ายหนอนจอมหิวจะกลายเป็นอะไร แต่ทว่านิทานเรื่องนี้ไม่ใช่แค่นิทานที่บอกเล่าการเติบโตของหนอนผีเสื้อตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ยังซุกซ่อนเรื่องอื่นๆ ไว้อย่างแนบเนียนอีกด้วย 1. หนอนจอมหิว : บอกว่า “ใน 1 สัปดาห์ […]

จิ๋วหลิวผจญภัย ชวนสังเกตธรรมชาติรอบตัวและรู้จักพืชต่างถิ่น

  จิ๋วหลิวผจญภัย อะจุ  คะโต เรื่องและภาพ สิริพร  คดชาคร แปล ดอกไม้ที่ขึ้นตามข้างทาง ใครเป็นคนปลูกเอาไว้นะ ดอกไม้ที่ฝาท่อ ดอกไม้ในสวนที่ไม่ได้มีคนดูแล ทำไมจึงยังเติบโตได้นะ? บางที ต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้น อาจจะเติบโตและได้รับการดูแลจาก “จิ๋วหลิว” ก็ได้นะ จิ๋วหลิว ไม่ใช่แมลงแต่จิ๋วหลิวเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋ว (ที่เด็กๆ อาจจะมองไม่เห็น) จิ๋วหลิวชอบกินกลีบดอกไม้ ใบไม้ แล้วก็ชอบดื่มน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ด้วยนะ แต่สิ่งที่จิ๋วหลิวไม่กินและเก็บไว้อย่างดีก็คือ เมล็ดดอกไม้ ครอบครัวจิ๋วหลิวเก็บเมล็ดดอกไม้เอาไว้อย่างดี แล้วพากันเดินทางไปหย่อนเมล็ดดอกไม้เหล่านั้นไว้ตามที่ต่างๆ ไม่ว่าในซอกเล็กๆ ตรงกำแพง ตามถนนคอนกรีต   ปลูกเมล็ดดอกไว้ใต้ตะแกรง ปลูกไว้ที่สวนสาธารณะด้วยนะ การผจญถัยของจิ๋วหลิว นอกจากจะทำให้เด็กๆ ได้สนุกกับมุมมองของภาพที่แตกต่างไปจากปกติ นั่นคือ ได้เห็นภาพขนาดใหญ่จากมุมมองของจิ๋วหลิวที่ตัวเล็กจิ๋วแล้ว  ยังได้สังเกตธรรมชาติรอบตัวไปพร้อมกับการเดินทางของจิ๋วหลิวอีกด้วย  ได้เห็นต้นไม้ที่แปลกตา ดอกไม้ที่ไม่เคยรู้จักชื่อมาก่อน ระหว่างที่เดินไปปลูกเมล็ดดอกไม้เหล่านั้น มีต้นไม้ ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ตามทางมากมาย หน้าตาของต้นไม้เหล่านั้นอาจจะไม่คุ้นตา (เพราะบ้านของจิ๋วหลิวในเรื่องคือญี่ปุ่น) แต่ก็ทำให้เด็กๆ ได้รู้จักพืชต่างถิ่นได้ เหมือนย่อโลกข้างนอกมาไว้ในหนังสือ ได้รู้จักดอกหน้าแมว  ต้นเบอะคะปุ่ย ได้เห็นต้นส้มกบดอกเหลือง  ได้เห็นเดซี่ป่า และต้นไม้อีกหลายต้น […]

เกมเขาวงกตกับทักษะการแก้ไขปัญหาจากนิทาน แม่หนูอยู่ไหน

 แม่หนูอยู่ไหน อิเกะสุมิ  ฮิโรโกะ เรื่องและภาพ ภัทร์อร  พิพัฒกุล แปล เมื่อลูกหมีตื่นนอนแล้วไม่เจอแม่ ลูกหมีจะทำอย่างไรดีนะ  ลูกหมีแก้ปัญหาด้วยการออกตามหาแม่ ระหว่างทางพบผู้คนมากมายที่คอยบอกทางให้ บางครั้งก็เหมือนจะใช่แม่ แต่ก็ไม่ใช่ แค่คล้ายๆ เท่านั้นเอง และสุดท้ายก็พบว่าแม่อยู่ใกล้กว่าที่คิด แต่ที่หาไม่เจอก็เพราะตกใจและไม่ทันได้มองให้ดีเสียก่อน จากเนื้อเรื่องคุณพ่อคุณแม่สามารถบอกเด็กๆ ได้ว่า หากพลัดหลงหรือหาพ่อแม่ไม่เจอ ให้ใจเย็นๆ ลองมองหารอบๆ ตัวให้ดีเสียก่อน แล้วยืนรอที่เดิม หรือไม่ก็ขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่     นิทานเรื่องนี้ภาพสวย สะอาดและสบายตา ตัวละครเป็นสัตว์ที่เด็กๆ คุ้นเคย แม้เนื้อเรื่องจะเริ่มต้นด้วยความตกใจของลูกหมี แต่เมื่อออกเดินทางไปสักพัก จะมีความสนุกแทรกอยู่ ด้วยภาพที่ผู้แต่งออกแบบให้เป็นเขาวงกต ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นจุดเด่นเรื่องเลยทีเดียวค่ะ เมื่อภาพเป็นเขาวงกต ก็ทำให้การใช้เวลาในการอ่านแต่ละหน้าเพิ่มมากขึ้น เด็กๆ จะมีสมาธิ จดจ่อกับเรื่องและภาพได้มากขึ้น เพราะต้องดูว่าจะให้ลูกหมีเดินไปทางไหนดี เหมือนกับว่า ได้อ่านไปเล่นไป และการเล่นเกมเขาวงกตนั้น ยังช่วยให้เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหาอีกด้วย 1.เขาวงกตช่วยให้เกิดกระบวนการคิดและวางแผนแก้ไขปัญหา เขาวงกต เป็นเกมที่มีจุดเริ่มต้น และจุดสุดท้าย เมื่อเด็กๆ เห็นว่าทางที่ลูกหมีจะไปไม่ใช่ทางแบบธรรมดา เด็กๆ จะเกิดกระบวนการคิดเพื่อหาทางออก […]

เรียนรู้ความแตกต่างและความภูมิใจในตนเองไปกับ เอลเมอร์

ปกติช้างตัวเป็นสีเทา แต่ถ้าวันหนึ่งมีช้างที่ไม่ใช่สีเทา แถมยังเป็นลายตารางหลากสีอีกละ จะเป็นอย่างไรนะ เรื่องราวของ เอลเมอร์ ช้างลายตารางหลากสีแสนซนซึ่งเป็นที่รักของช้างทุกตัว แต่แล้ววันหนึ่งเอลเมอร์กลับไม่อยากดูโดดเด่นและแตกต่างอีกต่อไป เขาจึงทำตัวเองให้เหมือนช้างตัวอื่นๆ แต่เอลเมอร์กลับรู้สึกไม่สนุกเลย ทำไมกันนะ….  ช้างสีไม่เหมือนช้าง ช้างที่ไม่เหมือนเพื่อนช้างตัวอื่นๆ ในฝูง โดดเด่นและแสนเป็นเอกลักษณ์  เพื่อนช้างในฝูงไม่มีใครมองว่าเอลเมอร์แปลก แต่เป็นเอลเมอร์เองที่คิดขึ้นว่า เบื่อแล้วกับการโดดเด่นและแตกต่างเช่นนี้ ช้างก็ต้องสีแบบช้างสิ เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ สิ ถึงจะดี ใครจะอยากแตกต่างกันละ … คิดได้ดังนั้น เอลเมอร์จึงออกเดินทาง และทำตัวเองให้ “เหมือน” เพื่อนคนอื่น แต่เมื่อมีสีเหมือนเพื่อนแล้ว ทำไม่ถึงไม่สนุกเหมือนเดิมนะ … เรื่องราวของเอลเมอร์ สะท้อนให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ความแตกต่าวระหว่างตัวเอลเมอร์กับเพื่อน ความแตกต่างระหว่างเพื่อนกับเอลเมอร์ ความแตกต่างที่เอลเมอร์และเพื่อนไม่เคยมองว่าเรา “ต่าง” กัน จึงอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และเอลเมอร์เองก็ไม่เคยรู้ว่าการเป็นตัวเองเป็นเรื่องที่ดีแค่ไหน จนกระทั่งได้ลองทำตัวเหมือนคนอื่นแล้วรู้สึกอึดอัดใจแบบแปลกๆ เมื่อนั้นเอลเมอร์จึงได้รู้ว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเป็นตัวเอง แล้วความภูมิใจในตนเองจึงเกิดขึ้น เอลเมอร์กลับมาเป็นช้างลายตารางหลากสีที่สดใสร่าเริง และเล่นสนุกกับเพื่อนเหมือนเดิม เอลเมอร์ได้สอนเราว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเป็นตัวของตัวเอง และจงภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ในขณะเดียวกันเพื่อนของเอลเมอร์ก็สอนให้เราได้รู้ว่า การไม่ตัดสินคนอื่นจากความไม่เหมือน เป็นเรื่องที่ดีแค่ไหน เราทุกควรล้วนมีเอกลักษณ์และมีความแตกต่างระหว่างกัน ไม่มีใครเหมือนกันเลยสักคน การอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างอย่างเข้าใจ […]

ประวัติศาสตร์อีเล้งเค้งโค้ง

มีห่านตัวหนึ่ง หน้าบึ้งหน้าบูด ไม่เอ่ยปากพูด หน้าบูดทั้งวัน แต่ห่านตัวนั้น  ส่งเสียงเป็นเพลง อีเล้งเค้งโค้ง!! หลายๆ คนคงคุ้นเคยกับบทกลอนข้างต้น และเมื่อถึงคำว่า อีเล้งเค้งโค้ง ก็อาจจะเปล่งเสียงคำนี้ให้ดังกว่าเดิมด้วยใช่ไหมล่ะคะ เจ้าห่านอีเล้งเค้งโค้ง เป็นขวัญใจของเด็กๆ มาอย่างยาวนาน รวมถึงเป็นขวัญใจของคุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านด้วย เพราะอีเล้งเค้งโค้งเป็นที่รู้จักมากว่า 20 ปีแล้วค่ะ! นิทานเรื่อง อีเล้งเค้งโค้ง แต่งและวาดภาพโดย ครูชีวัน วิสาสะ นักเขียน นักวาดภาพประกอบ และบรรณาธิการหนังสือภาพสำหรับเด็กที่ได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ มากมายเช่น ตัวเลขทำอะไร เจ้าหนูเมืองพิสดาร ฯลฯ มีผลงานเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มากมาย อาทิ อีเล้งเค้งโค้ง, คุณฟองนักแปรงฟัน เป็นต้น ด้วยเรื่องราวที่สนุก มีจุดเด่นและน่าติดตาม ทำให้นิทานของครูชีวันเข้าไปอยู่ในใจเด็กๆ ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเรื่องอีเล้งเค้งโค้ง แต่กว่าจะเป็นอีเล้งเค้งโค้งอย่างในทุกวันนี้นั้น มีเรื่องราวอย่างไรบ้างนะ … กว่าจะเป็นอีเล้งเค้งโค้ง จุดเริ่มต้นของอีเล้งเค้งโค้ง เริ่มเมื่อประมาณปี 2534  ครูชีวันได้เข้าร่วมเวิร์คช็อปเรื่องการเขียนสร้างสรรค์ กับ Mr.Ernst A. Ekker กวีและนักเขียนเรื่องสำหรับเด็กชาวออสเตรีย  […]

มี้จังและการสอนเรื่องความรับผิดชอบแบบคนญี่ปุ่น

ในวัย 5 ขวบที่เป็นช่วงต่อระหว่างวัยเด็กเล็กและเด็กโตอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลว่าลูกของตนมีศักยภาพในการทำอะไรได้บ้าง ในวัยนี้เด็กน้อยหลายคนคงเข้าอนุบาลกันหมดแล้ว และเมื่อต้องห่างไกลสายตาไป คุณพ่อคุณแม่ก็ย่อมมีความเป็นห่วงว่าลูกของตนจะช่วยเหลือตัวเองได้ขนาดไหน สามารถทำอะไรตามคำสั่งได้หรือเปล่า ซึ่งสิ่งนั้นก็คือลูกของเรานั้นสามารถรับผิดชอบตนเองได้มากขนาดไหนในวัยเท่านี้ คำถามคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของเรานั้นรู้จักความรับผิดชอบ และหากว่ายังไม่รู้ จะเริ่มสอนได้เมื่อไหร่ และต้องสอนอย่างไร เมื่อพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบ คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจมองเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะคำนี้สื่อไปถึงบุคลิกที่เชื่อมโยงกับสังคมในอนาคตของเจ้าตัวน้อยด้วย แต่จริงๆ แล้วความรับผิดชอบเริ่มต้นด้วยความหมายง่ายๆ และใกล้ตัวมากกว่าที่คิดค่ะ เราลองมาดูการสอนให้เด็กรู้จักความรับผิดชอบผ่านนิทานเรื่อง “งานแรกของมี้จัง” ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นกันดีกว่าค่ะ งานแรกของมี้จังเป็นเรื่องราวของเด็กหญิงมี้จังวัย 5 ขวบ ที่คุณแม่ได้ไหว้วานให้เธอช่วยออกไปซื้อนมที่ร้านชำใกล้บ้าน และมี้จังก็พยายามทำหน้าที่นั้นอย่างมุ่งมั่นและสำเร็จจนได้ แม้จะเจออุปสรรคบ้างก็ตาม อาจดูเป็นเรื่องที่ไม่ยากสำหรับผู้ใหญ่หลายๆ คน แต่การออกไปซื้อของนอกบ้านก็นับเป็นการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กคนหนึ่งเลยทีเดียว และหากมองตามเนื้อเรื่องเราก็จะเห็นได้ว่า ในประเทศญี่ปุ่นนั้นเด็กวัยเพียงเท่านี้ก็เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่ของตนเองได้แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะนำแนวทางมาปรับใช้และสั่งสอนลูกของเราได้ การสอนเรื่องความรับผิดชอบแบบคนญี่ปุ่น การสอนเรื่องความรับผิดชอบแบบคนญี่ปุ่นเริ่มต้นตั้งแต่เข้าโรงเรียนอนุบาล เมื่อพ่อแม่พาเด็กมาส่งให้คุณครูที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ทางโรงเรียนจะให้เด็กทำหน้าที่ของตนเอง เช่นการนำสิ่งของของตัวเอง อย่าง รองเท้า กระเป๋าที่นอน ผ้ากันเปื้อน ไปเก็บไว้ในที่ที่จัดเตรียมไว้ หลังจากนั้นจึงจะเข้าไปร่วมเล่นของเล่นกับเพื่อนๆ ได้ แม้เด็กเล็กอาจจะยังทำไม่ได้ทันทีในวันแรกๆ แต่คุณครูก็จะคอยช่วยบอกและพาเด็กไปทำสิ่งนั้นอย่างใจเย็น เพื่อให้เด็กเข้าใจว่าการช่วยเหลือตนเองเป็นสิ่งที่ควรทำ และเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำได้ ซึ่งสิ่งนี้จะสอดแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวันของเด็กไปเรื่อยๆ ทำให้ตัวเด็กเกิดความคุ้นเคยและรับรู้หน้าที่ของตนเองได้ในที่สุด ให้เด็กดูแลรับผิดชอบเรื่องของตนเอง เช่นเดียวกับเรื่องมี้จังที่คุณแม่ของมี้จังไม่ได้บอกตรงๆ ว่าต้องทำอะไร แต่ใช้การมอบหมายงานง่ายๆ […]

keyboard_arrow_up