ผมเป็นมนุษย์พ่อธรรมดาทั่วไปที่อยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี ตัวผมเองจบมาจากการศึกษาที่คงจะเรียกว่ากระแสหลัก และผมก็เคยคิดจะให้ลูกเข้ากระแสหลักมาก่อน แต่ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจให้ลูกเข้าเรียน โรงเรียนทางเลือก
จุดเปลี่ยนเกิดจาก ครั้งหนึ่ง ผมลองพาลูกไปทดสอบตามสนามสอบจำลองเหมือนที่เด็กอนุบาลทั่วไปไปทดสอบกัน การไปครั้งนั้นไม่ใช่เพราะอยากจะไปทดสอบดูคะแนนลูก แต่เพราะพี่ปูนปั้นเป็นเด็กที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ไม่ง่ายนัก เราจึงอยากให้เขาได้รู้จักบรรยากาศของ ห้องสอบ
ผลการสนามสอบจำลองในวันนั้น พี่ปูนปั้นควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมได้ดี สามารถตั้งใจฟังและทำข้อสอบจนเสร็จ แม้คะแนนจะออกมาชวนอมยิ้มแต่เราไม่ซีเรียส จนกระทั่งมาเจอช่วงเฉลยข้อสอบและเราเจอข้อหนึ่งซึ่งให้เลือกภาพที่ต่างจากข้ออื่น ในข้อนั้นพี่ปูนปั้นเลือกคำตอบจากตัวเลือกหนึ่ง แต่คำเฉลยกลับเป็นอีกข้อ พี่ปูนปั้นถามผมว่า “ปะป๊าครับ ปูนปั้นทำผิดหรอ” ผมถามเหตุผลว่าทำไมเขาเลือกข้อนี้ เขาอธิบายได้ดีว่าทำไมถึงเลือกและเหตุผลที่ให้ก็ไม่ผิด ผมจึงบอกว่า “พี่ปูนปั้นเลือกถูกแล้ว” คำตอบปูนปั้นไม่ผิด แต่ครูเฉลยผิดเพราะจริงๆ มันตอบได้ทั้ง 2 ข้อ
และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญว่า “ลูกผมไม่จำเป็นต้องมาเรียนเพื่อตอบคำถามให้ถูกใจครู”
เพราะตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่า ผมไม่ต้องเจอข้อสอบแนวจะรู้ไปทำไมแบบนี้ และนั่นแหละคือจุดที่ผมไปมอง โรงเรียนทางเลือก เพราะผมเชื่อว่า การที่เด็กมีความสุขกับการเรียนมันเป็นเรื่องระยะยาว ไม่ใช่เรื่องว่าจะได้คณะไหน เกรดเท่าไหร่แค่นั้น แต่เป็นเรื่องยาวไปถึง การทำมาหากินในสิ่งที่มีความสุข การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะเรียนรู้ตัวตนและจิตใจตัวเอง ไม่ใช่อาหารใส่กล่องสำเร็จรูป เพราะผมเกิดในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เรียนมากนัก จึงไม่มีใครมาจำกัดบังคับการเรียนและนั่นเองน่าจะเป็นเหตุผลที่ผมรักการเรียนรู้ และนั่นแหละคือสิ่งที่โรงเรียนทางเลือกจะมอบให้ลูกได้
โรงเรียนทางเลือก มีหลายแนว
โรงเรียนทางเลือก จะมีหลายแนวเช่น วิถีพุทธ วอลดอร์ฟ มอนเตสเซอรี่ เป็นต้น โดย โรงเรียนทางเลือก จะเน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่น เพราะเป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติของเด็ก เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ใช้ร่างกายประกอบสมอง ไม่มุ่งเน้น ให้เด็กเรียนวิชาการจนเกินวัย การเรียนเป็นเชิงโปรเจกต์ ทำงานร่วมกัน โดยเด็กๆ จะรู้ว่าความรู้แต่ละอย่างที่เรียนนั้นเรียนไปเพื่ออะไร เพราะจะบูรณาการเข้าไปกับการใช้ชีวิต เช่น การเรียนบวกลบก็อาจจะบูรณาการเข้าไปกับการพาเด็กไปจ่ายตลาด อาจจะมีการทำตลาดจำลองแล้วให้เด็กออกไปซื้ออาหาร เมื่อเด็กเรียนรู้โดยรู้ว่าไปใช้ทำอะไรเขาจะสนุกกับมันและจะนำไปประยุกต์ใช้เป็นไม่ใช่เพียงท่องจำ และหลายๆ โรงเรียนจะมีจัดสรรหน้าที่ให้เด็กทำ เช่น ทำอาหาร ล้างจานชามเอง ตรงนี้จะส่งเสริมการใช้ชีวิตให้เป็น ดูแลตัวเองและครอบครัวได้ เพราะการใช้ชีวิตสำคัญไม่น้อยกว่าวิชาการเลย ไม่ส่งเสริมการติวเพราะนอกห้องเรียน คือ เวลาที่อยู่กับพ่อแม่
ส่วนใหญ่ที่ผู้ปกครองเลือก โรงเรียนทางเลือก เพราะเชื่อว่า (ซึ่งก็อาจจะไม่ถูกเสมอไปและทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อเดียวกัน) การเรียนสายปกติที่มีเนื้อหาการเรียนรู้เกินกว่าวัย เช่น เด็กวัยอนุบาลควรได้รับการพัฒนาด้านกล้ามเนื้อมัดต่างๆ มากกว่าการท่องจำ และจับดินสอหัดเขียนตามเส้นประ ส่วนเด็กประถมก็ไม่จำเป็นต้องท่องสูตรทางเคมี แต่เด็กควรเรียนรู้จากตนเองออกไปสู่สิ่งรอบข้าง สังคมรอบตัว และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนและส่วนรวม โดยในโรงเรียนทั่วไปเด็กอาจจะทำคะแนนดี แต่ไม่ได้ถนัดการเรียนรู้เอง การประยุกต์ใช้ และอาจจะมีปัญหาความเครียดสะสมจากการเเข่งขัน รวมถึงคำพูดเชิงลบที่อาจจะทำให้เด็กเสีย self – esteem เมื่อได้คะแนนไม่ดี ดังที่เราได้เห็นข่าวเด็กมีปัญหามากมายทั้งๆ ที่อยู่ในครอบครัวที่ดูมีความสมบูรณ์พร้อม หรือกระทั่งข่าวฆ่าตัวตายที่มากขึ้นเรื่อยๆ เราได้เห็นผู้ใหญ่มากมายที่เก่งวิชาการแต่ไม่เก่งการงาน การใช้ชีวิต แต่การที่จะตัดสินใจให้ลูกมาทางเลือก คุณพ่อคุณแม่ต้องมีใจมั่นคงไม่หวั่นไหวไปกับลูกของเพื่อนๆ ที่อาจจะเขียน ก.ไก่ได้ตั้งแต่อนุบาล 1 และพร้อมจะยอมรับหากลูกเลือกสายการศึกษาที่อาจจะแหวกแนวไป แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เขารักและมีความสุข ตอนสมัยที่ผมเรียน ม.4 ที่โรงเรียนดังบนถนนพญาไทนั้น ผมจำได้ดีว่าที่ 1 ห้องผมได้เกรด 4.00 แต่เลือกเอนทรานซ์อันดับ 1 เข้า Food Science ซึ่งในสมัยนั้นวัยนั้น เป็นเรื่องแปลกมากๆ ที่ไม่เลือกหมอหรือวิศวะ แต่ปัจจุบันคงไม่ต้องไปสืบหาก็เห็นว่าเธอประสบความสำเร็จขนาดไหน
ปลายทางของทางเลือก
อีกหนึ่งจุดที่จะข้ามไปไม่ได้เลยเกี่ยวกับการตัดสินใจมาสายโรงเรียนทางเลือก ของผมคงต้องให้เครดิตภรรยา เพราะผมเองในตอนนั้นก็ยังมีความกังวลไม่น้อยว่าปลายทางหากจะกลับมาเข้าระบบมหาวิทยาลัยจะออกมาในรูปไหน ภรรยาผมจึงไปหาข้อมูลของเด็กนักเรียนที่จบมัธยมปลาย (จากโรงเรียนทางเลือกที่ปั้นแป้งเข้าเรียน) และไปต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งปรากฏว่าเกือบทั้งหมดก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาลได้ และเมื่อได้เข้าไปฟังแนวทางการเรียนการสอนของโรงเรียน จึงพบว่าโรงเรียนทางเลือกไม่ใช่ไม่เรียนนะครับ แต่เราเรียนด้วยกระบวนการที่แตกต่างออกไปเท่านั้นเอง และเป็นกระบวนการที่สัมผัสได้เลยว่าเด็กจะเรียนด้วยความสุข สนุกขนาดไหน
อีกสิ่งหนึ่งที่ โรงเรียนทางเลือก ที่พี่ปูนปั้นและน้องปั้นแป้งเข้าเรียนนั้น เป็นโรงเรียนวิถีพุทธที่มีหลายครอบครัวให้ความสนใจและเข้าคิวสมัครค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่การคัดเลือก ไม่ได้ให้เด็กมานั่งทำข้อสอบ แต่เป็นการพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ถึงแนวทางและความคิดในการเลี้ยงดูลูก และในเชิงปฏิบัติ คุณพ่อคุณแม่ดูแลลูกๆ อย่างไร จะเข้ากับวิถีของโรงเรียนได้หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นการศึกษาทางเลือกจะไม่สำเร็จหรือมีความสุขได้เลย เพราะหลักการสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการศึกษาทางเลือกคือ การมีส่วนร่วมของครอบครัว ที่ต้องให้เวลากับลูกๆ และโรงเรียนอย่างมาก จุดที่น่าประทับใจอีกอย่างคือ แม้โรงเรียนจะมีโอกาสมากมายที่จะแสวงหาแหล่งรายได้จากการคัดเลือกเด็ก แต่เชื่อหรือไม่ว่าทั้ง 2 โรงเรียนที่ปูนปั้นกับปั้นแป้งเข้าเรียน ไม่มีเงินอื่นใดที่ต้องจ่ายนอกจากค่าเทอม
…แค่ก้าวแรกก็ถูกต้องแล้ว…
>>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค
หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<
บทความน่าสนใจอื่นๆ
การบ้านอนุบาล เรื่องปวดหัวทั้งตัวพ่อและตัวแม่
“ลูกช่างถาม” รับมืออย่างไร ไม่ขัดพัฒนาการลูก
แชร์ประสบการณ์ ฝึกวินัยการกินให้ลูก กินข้าวตรงเวลา
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่