นิทานสั้น นิทานสอนใจ อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน
นกอินทรีย์ หรือลูกไก่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีแม่นกอินทรีตัวหนึ่งบังเอิญออก ลูกมาเป็นแฝด แม่อินทรีก็เฝ้าฟูมฟักลูกทั้งสองบนหน้าผา แต่มาวันหนึ่งพายุได้พัดมาที่รังของนกอินทรีพัดเอาแฝดผู้น้องตกลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เดชะบุญที่ตรงนั้นมีแม่ไก่กับลูกฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ แม่ไก่ได้ฟูมฟักลูกนกอินทรีประดุจดั่งเป็นลูกของตัวเองจนเติบใหญ่ สอนเดินแบบไก่ หากินแบบไก่และก็ร้องแบบไก่ จนอินทรีแฝดผู้น้องเข้าใจว่าตนเองนั้นคือไก่จริง ๆ มาวันหนึ่งแม่นกอินทรีหัดให้แฝดผู้พี่บิน แฝดน้องที่อยู่ด้านล่างเห็นแฝดพี่บินก็วิ่งไปถามแม่ไก่ว่า
“แม่ๆดูนกบนนั้นบินสิครับ สง่างามจังเลย ผมอยากทำได้แบบนั้นจัง” แม่ไก่ได้ยินดังนั้นจึงตอบนกอินทรีผู้น้องไปว่า “ลูกเอ๋ยเป็นไปไม่ได้หรอก ข้างบนนั้นคือพญานก เป็นนกอินทรีผู้สง่างาม แต่เราเป็นไก่เราทำแบบเขาไม่ได้หรอกลูก” ลูกนกอินทรีผู้น้องก็รับคำ และอยู่กับแม่ไก่สืบต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : วันนี้เราอาจเป็นลูกนกอินทรีที่อาศัยอยู่กับฝูงไก่ก็ได้ เมื่อเราทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่อาจมีเสียงทักจากบุคคลรอบข้างว่า “เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้” แต่ถ้าเรายังไม่ตัดสินใจลงมือทำ และแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ จะรู้อย่างไรว่าเราไม่ใช่พญานกอินทรี ????
นายพลกับเด็ก
ครั้งหนึ่งมีนายพลต้องการที่จะข้ามแม่น้ำ เขาไม่แน่ใจว่าแม่น้ำนั้นลึกขนาดไหน และไม่แน่ใจว่าม้าของเขาจะข้ามจะสามารถข้ามแม่น้ำนี้ไปได้ เขาก็เลยมองไปรอบ ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ และพบเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอยู่แถวนั้น ก็เลยถามความเห็นจากเด็กคนนั้น เด็กชายมองไปยังขนาดของม้าของนายพล และก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกกับนายพลอย่างเชื่อมั่นว่า นายพลและม้าของเขาสามารถข้ามแม่น้ำไปได้อย่างปลอดภัย นายพลจึงเดินหน้าต่อไปเพื่อข้ามแม่น้ำบนหลังม้าของเขา เมื่อนายพลไปถึงกลางแม่น้ำ เขาก็พบว่าแม่น้ำนั้นลึกมาก และเขากำลังจะจมน้ำ ด้วยความตื่นตะหนกเขาก็ตะโกนไปยังเด็กชายคนนั้นว่าเด็กจะต้องถูกลงโทษ
เด็กผู้ชายตกใจและตอบกลับมาด้วยความไร้เดียงสาว่า “แหม ท่านนายพล ผมเคยเห็นเป็ดมันสามารถข้ามแม่น้ำได้ทุกวันไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย เป็ดมีขาสั้นกว่าม้าอีกแต่ทำไมถึงข้ามไปได้ละครับ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : หลักการของความสำเร็จ ถ้าคุณต้องการคำแนะนำ ก็ขอให้ขอคำแนะนำจากผู้รู้ แต่ขอให้แน่ใจว่าความคิดเห็นนั้นเป็นความคิดเห็นของผู้ที่รู้จริงในเรื่องนั้นๆ มิเช่นนั้น ท่านอาจจะเสียโอกาสได้
พญาหงส์ติดบ่วง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหงส์ฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่ในถ้ำใหญ่ มีพญาหงส์เป็นผู้นำ อยู่มาวันหนึ่ง นกหงส์ 2 – 3 ตัวในฝูงบินไปหากินที่สระบัวหลวงที่อยู่ห่างไกลออกไป โดยเป็นสระบัวที่กว้างใหญ่สวยงาม และเป็นที่อาศัยหากินของนกเป็นจำนวนมาก เมื่อพบเแหล่งอาหารขนาดใหญ่ ก็ทำให้นกหงส์รู้สึกพอใจ จึงกลับมาเล่าให้พญาหงส์ฟังว่า พวกเขาอยากกลับไปหากินที่สระนั้นอีก พญาหงส์ห้ามว่า สระนั้นเป็นถิ่นมนุษย์มีอันตรายมากสำหรับนก ไม่ควรไป แต่บริวารก็อ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า พญาหงส์จึงอนุโลม และบอกว่าจะตามไปด้วย คราวนั้นจึงมีหงส์บริวารตามไปเป็นจำนวนมาก
พอพญาหงส์ร่อนลงเท่านั้น พญาหงส์ก็ติดบ่วง บ่วงของพรานรัดเท้าไว้แน่น พญาหงส์ดึงเท้าอย่างแรงด้วยคิดว่าจะทำให้บ่วงขาด ปรากฏว่าครั้งแรกหนังถลอก ครั้งที่สองเนื้อขาด พอถึงครั้งที่สาม เอ็นขาด ถึงครั้งที่สี่ บ่วงกินลึกลงไปถึงกระดูก เลือดไหลมาก เจ็บปวดแสนสาหัส พญาหงส์คิดว่า ถ้าหากตนร้องขึ้นว่าติดบ่วง บริวารซึ่งกำลังกินอาหารเพลินอยู่ก็จะตกใจกินอาหารไม่ทันอิ่ม เมื่อบินกลับก็จะไม่มีกำลังพอ จะตกทะเลตาย จึงเฉยอยู่ รอให้บริวารกินอาหารจนอิ่ม ตนเองยอมทนทุกข์ทรมานด้วยบ่วงนั้น เมื่อเวลาล่วงไปพอสมควร เหล่าหงส์อิ่มแล้วกำลังเล่นเพลินกันอยู่ พญาหงส์ก็ร้องขึ้นด้วยเสียงดังว่า “ติดบ่วง” พอได้ยินดังนั้น หงส์บริวารทั้งหลายก็ตกใจ บินหนีกลับไป
แต่มีหงส์อยู่หนึ่งตัว ทีแรกก็บินไปกับฝูงเหมือนกับตัวอื่น แต่เมื่อบินไปสักครู่หนึ่งก็เกิดเฉลียวใจคิดถึงพญาหงส์ที่ติดบ่วงอยู่ จึงรีบบินกลับมาที่สระบัว เมื่อเห็นพญาหงส์ติดบ่วงอยู่ก็ปลอบใจว่า อย่ากลัวเลย ตนเองจะสละชีวิตแทน แต่พญาหงส์กล่าวว่า “ท่านจงรีบไปเสีย ก่อนที่นายพรานจะมา”
เมื่อนกทั้งสองกำลังเจรจากัน อยู่อย่างนี้ นายพรานก็มาถึง และเกิดความสงสัยว่า นกตัวหนึ่งติดบ่วงอยู่ แต่อีกตัวหนึ่งมิได้ติดบ่วง ทำไมจึงยืนอยู่ใกล้ ๆ มิได้บินหนีไป จึงไต่ถาม หงส์จึงตอบให้ทราบว่า เพราะพญาหงส์เป็นนายของตน จึงมิอาจละทิ้งท่านไปได้ และเจ้าหงส์ยังได้กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหว่านล้อมให้พรานเห็นใจ ขอให้ปล่อยเขาทั้งสองไปพบญาติและบริวาร ด้านนายพรานนั้นนิยมสรรเสริญในน้ำใจอันภักดีและเสียสละของหงส์ แต่เพื่อทดลองใจจึงกล่าวว่า “ท่านเองก็มิได้ติดบ่วง และเราก็มิปรารถนาจะฆ่าท่าน ท่านจงรีบไปเสียเถิด ”
ด้านหงส์ตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะมีชีวิตอยู่ โดยไม่มีพญาหงส์ ถ้าท่านพอใจเพียงชีวิตเดียวก็ขอให้ปล่อยพญาหงส์เถิด ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้นท่านจะปล่อยหรือจะกินเสียก็ได้ แล้วปล่อยพญาหงส์ไป” พรานมีใจอ่อนจึงกล่าวว่า ” ขอให้ใคร ๆ ทราบเถิดว่า พญาหงส์พ้นจากบ่วงความตายได้ก็เพราะท่าน มิตรอย่างท่านหาได้ยากในโลก หรืออาจไม่มีในโลก ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเห็นใจท่าน เคารพในน้ำใจท่าน ขอท่านทั้งสองจึงบินไปเถิด ไปเป็นสุขในหมู่ญาติและบริวาร”
เมื่อพญาหงส์และสุมุข ได้ทราบว่า นายพรานทำการดักบ่วงเพื่อหาทรัพย์มาเลี้ยงชีพ ก็ต้องการจะตอบแทนน้ำใจของนายพราน จึงขอร้องให้นายพรานพาไปเฝ้าพระราชา และเล่าเรื่องราวให้พระราชาฟัง พระราชาทรงทราบเรื่อง ทั้งหมดแล้วก็ทรงเลื่อมใสในนกและพรานที่ประพฤติธรรมต่อกัน จึงทรงพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแก่นายพรานเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพไปตลอดชีวิต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : การคบเพื่อนที่ดี เป็นวิถีทางแห่งความสุขความเจริญของชีวิต ซึ่งมิตรที่ดีตามหลักในศาสนาพุทธคือ เป็นมิตรที่มีอุปการะ ร่วมทุกข์ร่วมสุข แนะนำประโยชน์ และมีความรักใคร่
ค้ที่มา : https://www.tumsrivichai.com
ค้างคาวเลือกพวก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีค้างคาวตัวหนึ่งมันถือว่าตนมีปีกเหมือนนก เเละก็มีหูเหมือนสัตว์อื่นทั่วๆ ไป ดังนั้นเมื่อนกยกพวกไปต่อสู่กับสัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ขอตัวไม่เข้าข้างฝ่ายใดโดยทำตัวเป็นกลาง เเต่พอเมื่อพวกนกนั้นมีท่าทีว่าจะชนะค้างคาวก็จะประกาศตัว แล้วไปเข้าข้างกับฝ่ายนกทันที ต่อมาพวกนกกำลังพลาดท่าเสียทีเเก่สัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ผละจากฝ่ายนกไปเข้าพวกกับสัตว์อื่น ๆ และหากพวกนกต่อสู้จนใกล้จะได้รับชัยชนะ ค้างคาวก็กลับมาอยู่กับพวกนกอีก
เมื่อนกกับสัตว์อื่นๆ ทำสัญญาสงบศึก เเละเป็นมิตรต่อกัน สัตว์ทั้งหลายต่างก็พากันขับไล่ค้างคาว ไม่ยอมให้เข้าพวกด้วย ค้างคาวอับอายจึงต้องไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ และจะออกจากถ้ำไปหาอาหาร ได้แต่ในตอนกลางคืนเท่านั้น
หญิงรีดนมวัวผู้เพ้อฝัน
ที่มา : https://nitanstory.com
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
รวม 70 นิทานสำหรับเด็ก 4-7 ปี กระตุ้นจินตนาการ พัฒนาสมองลูกน้อย
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่