นิทานเด็ก นิทานอีสป นิทานสอนใจ นิทานก่อนนอน ลูกน้อยฟังสนุก มีความสุข ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ พร้อมช่วยพัฒนาทางด้านสมอง และอารมณ์
นิทานเด็ก นิทานก่อนนอน เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมอง
การอ่าน นิทานก่อนนอน ให้ลูกฟังของคุณพ่อคุณแม่ มีประโยชน์กับลูกในหลาย ๆ ด้าน นิทานจะช่วยเสริมพัฒนาการด้านสมอง เสริมสร้างจินตนาการ การสร้างบุคลิกภาพของเด็ก และยังสอนเด็กผ่านนิทานในด้านต่างๆ เช่น เรียนรู้ในการแบ่งปัน การประนีประนอม ความอยากรู้ ความใฝ่รู้ ดังนั้นทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงได้นำ นิทานอีสป ซึ่งมีคติสอนใจ มาฝากคุณพ่อคุณแม่ในวันนี้ค่ะ
นิทานเรื่องผูกกระดิ่งแมว
นิทานเด็ก นิทานก่อนนอน เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมอง
นิทานอีสป เรื่องผูกกระดิ่งแมว
ณ บ้านหลังหนึ่งที่ดูเหมือนจะสงบสุข หัวหน้าของพวกหนูได้ลั่นระฆังเรียกพวกพ้องมาประชุมหารือ เกี่ยวกับการป้องกันตัวจากเจ้าแมวตัวแสบที่เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้ ซึ่งถือเป็นศัตรูตัวร้ายที่ชอบระราน ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกลา
“วันนี้เราจะมาหารือกันเรื่องวิธีรับมือกับเจ้าแมวตัวแสบ ที่คอยกลั่นแกล้งพวกเรากัน” หัวหน้าของพวกหนูกล่าว
“ข้าว่าเราจะต้องมีมาตรการป้องกันที่เด็ดขาดกันแล้วล่ะท่าน ไม่อย่างนั้นพวกลูก ๆ ของข้าจะต้องอยู่อย่างหวาดกลัวแบบนี้ไปตลอดแน่ ๆ” พ่อหนูตัวหนึ่งกล่าว
หลังจากนั้นเหล่าผู้นำของพวกหนูก็ประชุมหารือกันอย่างจริงจัง พร้อมช่วยกันเสนอวิธีจัดการกับเจ้าแมว จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งวันก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้หัวหน้าของพวกหนูต้องขอความคิดเห็นจากบรรดาสมาชิกหนูตัวอื่น ๆ
“พวกเราประชุมกันมาครึ่งวันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ข้าจึงอยากถามความคิดเห็นของสมาชิกคนอื่น ๆ ว่าพวกเราควรจะจัดการกับเจ้าแมวตัวนี้อย่างไรดี หากใครมีความคิดดี ๆ ก็สามารถเสนอมาได้เลย” หัวหน้าของพวกหนูกล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น บรรดาสมาชิกหนูทุกตัวก็ช่วยกันออกความคิดเห็นอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเสียที ทันใดนั้นเองก็มีเจ้าหนูตัวหนึ่งลุกขึ้นและพูดว่า
“ข้าคิดว่าที่พวกเราโดนกลั่นแกล้งแบบนี้เป็นเพราะว่าเราเป็นแค่หนูตัวเล็ก ๆ ส่วนเจ้าแมวตัวใหญ่ก็ชอบหลบอยู่ตามมุมต่าง ๆ เพื่อเฝ้ารอพวกเราเดินออกมาหาอาหาร แล้วจากนั้นก็วิ่งไล่เหมือนพวกเราเป็นของเล่น โดยไม่มีสัญญาณเตือน” เจ้าหนูตัวนั้นกล่าว
“ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด แล้วแบบนี้เราควรจะมีวิธีป้องกันเจ้าแมวตัวนี้อย่างไรล่ะ ?” หัวหน้าของพวกหนูกล่าวถาม
“ข้ามีความคิดว่าเราต้องมีเครื่องส่งสัญญาณ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเจ้าแมวตัวนั้นอยู่ตรงบริเวณไหนของบ้าน โดยนำริบบิ้นคล้องกระดิ่งไปผูกไว้ที่คอของเจ้าแมวตัวแสบ” เจ้าหนูกล่าว
เหล่าสมาชิกหนูทุกตัวที่อยู่ในที่ประชุมต่างลุกขึ้นปรบมือ และเห็นต้วยกับความคิดของเจ้าหนูตัวนั้น แต่ทุกอย่างกลับเงียบลงอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงของหนูชราตัวหนึ่ง
“ความคิดของเจ้านั้นเฉียบแหลม แต่ทว่าใครจะเป็นคนเอากระดิ่งไปผูกคอเจ้าแมวตัวนั้นกันล่ะ ?” หนูชรากล่าวถาม
เมื่อหนูชราพูดจบ บรรดาหนูทุกตัวต่างเงียบและมองหน้ากัน เนื่องจาก ไม่มีใครกล้าที่จะเอากระดิ่งไปผูกคอแมวตัวนั้น รวมถึงเจ้าหนูที่ออกความคิดเห็นด้วย การประชุมจึงจบลงโดยไม่ได้ข้อสรุป และไม่ได้วิธีรับมือกับเจ้าแมวตัวแสบ พวกหนูจึงต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวงเหมือนเช่นเคยต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
การที่เจ้าหนูตัวหนึ่งออกความคิดให้นำกระดิ่งไปผูกไว้ที่คอของแมว แต่กลับไม่มีใครกล้าที่จะนำกระดิ่งไปผูก รวมถึงเจ้าหนูที่ออกความคิดเห็นนั้นด้วย เรียกว่า ดีแต่พูด แต่ทำไม่ได้ ซึ่งตรงกับสุภาษิตที่ว่า “ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก” หมายถึง คนที่มักพูดจาเหมือนกับว่าอะไรต่าง ๆ สามารถทำได้ง่าย หรือดูง่ายไปเสียหมด แต่ในความจริงแล้วเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แถมตัวเองก็ทำไม่ได้อีกด้วย ดังนั้นเรื่องใด ๆ ก็ตาม หากคิดว่าตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ไม่ควรพูดจะดีกว่า เพราะผู้อื่นจะมองว่าเราเป็นคนชอบโอ้อวดนั่นเอง
นิทานอีสป เรื่องลมกับพระอาทิตย์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว วันที่อากาศแจ่มใสท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระอาทิตย์ออกมาส่องแสงเจิดจ้าอย่างที่เคยเป็น เจ้าลมเพื่อนเก่าได้ผ่านมาเห็นเลยหยุดแวะทักทาย “เป็นอย่างไรบ้างพระอาทิตย์มิตรแห่งเรา ไม่เจอกันเสียนานสบายดีหรือไม่“ เจ้าลมตะโกนทักทายสหายเก่าสุดเสียง พระอาทิตย์ก็ตอบรับอย่างดีใจด้วยไม่เจอลมตนนี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน
ขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มนักเดินทางสวมเสื้อคลุมกำลังเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ เจ้าลมเห็นอย่างนั้นก็นึกสนุก พูดท้าทายบางสิ่งออกมา “พระอาทิตย์สหายรัก เรามาแข่งขันวัดความแข็งแกร่งกันสักหน่อยไหม“ ลมกล่าวชักชวน “ได้สิ ๆ แข่งอะไรดีเล่า“ พระอาทิตย์ตอบกลับแบบไม่คิดอะไร ด้านเจ้าลมก็ชี้ลงไปยังหนุ่มนักเดินทางคนนั้นพร้อมกล่าว “ง่ายมากเลย ทำยังไงก็ได้ให้เสื้อคลุมของพ่อหนุ่มคนนั้นหลุดออกมาจากตัว ใครทำสำเร็จถือเป็นผู้ชนะและแข็งแกร่งที่สุด” พระอาทิตย์พยักหน้าตอบรับ ลมเห็นว่าสหายรักรับคำท้าจึงโผไปหาหนุ่มนักเดินทาง พลางตะโกนไล่หลัง “ฉันขอเริ่มก่อนเลยนะ“
เจ้าลมใช้กำลังทั้งหมดรวบรวมมาเป็นพายุขนาดย่อม หวังทำให้เสื้อคลุมตัวนั้นปลิดปลิว แต่หนุ่มนักเดินทางก็ไม่หวั่นไหวแถมยังจับเสื้อเอามาคลุมไว้แน่น ลมเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งใช้แรงบีบบังคับมากขึ้นไปอีก จนหนุ่มคนนั้นแทบไม่มีแรงก้าวเดิน “ทำไมลมในวันนี้ถึงได้มีความโหดร้ายกับฉันนักนะ“ หนุ่มนักเดินทางบ่นอย่างท้อใจแล้วดึงเสื้อคลุมตัวแน่นกว่าเดิม เจ้าลมจึงรวบรวมพลังอีกครั้งพร้อมกับเป่าไปยังหนุ่มคนนั้น ถึงขั้นเดินเซเกือบล้ม
“พอเถิดหนาลมเอ๋ย เราขอลองแข่งบ้างเถิด“ พระอาทิตย์กล่าวกับลม ด้วยแรงที่ใกล้จะหมดไป ลมจึงยอมให้พระอาทิตย์มาแข่งต่อ คราวนี้อากาศแจ่มใสไร้พายุใด ๆ มาก่อกวน หนุ่มนักเดินทางเลยเดินต่อจนใกล้ถึงแนวป่า ด้านพระอาทิตย์เองก็เริ่มแผนการอย่างแยบยล เขาค่อย ๆ เปล่งแสงให้ร้อนทีละนิด ทีละนิด จนหนุ่มคนนั้นเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น อุ่นขึ้น จากความอบอุ่นกลายเป็นความร้อน พอเจอแนวต้นไม้เงียบสงบ หนุ่มนักเดินทางเลยเลือกที่จะเข้าไปนั่งพัก พร้อมถอดเสื้อคลุมตัวที่ลมท้าพระอาทิตย์วางไว้ข้างกายอย่างสบายใจ
“ความอ่อนโยนของเธอเหนือกว่าพละกำลังที่ฉันมีจริง ๆ“ ลมชื่นชมในสิ่งที่พระอาทิตย์ทำลงไป “ไว้มีโอกาสคราใด เราจะแวะมาหาใหม่นะพระอาทิตย์เพื่อนรัก“ ทั้งคู่จึงยิ้มร่ำลากันอย่างมีความสุข
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
การใช้กำลังและความรุนแรงแข่งขันกันไม่ทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอไป บางครั้งอาจจะต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นเพราะการกระทำอันก้าวร้าวของเราก็เป็นได้ แต่ถ้าเปลี่ยนความรุนแรงมาเป็นความอ่อนโยนและมีเมตตา ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมได้ผลสำเร็จตอบแทนอย่างที่หวังแน่นอน
อ่านต่อ…นิทานเด็ก นิทานก่อนนอน เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมอง คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่