นิทาน นิทานนานาชาติ อ่านได้อ่านดี ไร้พรมแดน!!
ลูกกระจงน้อย กับจระเข้ : นิทานประเทศมาเลเซีย
นานมาแล้ว มีจระเข้ร้ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่กับฝูงที่แม่น้ํากว้างใหญ่ เจ้าจระเข้ร้ายคอยจ้องจับกินลูกกระจงน้อยตัวหนึ่งมานานแล้ว แต่ก็จับไม่ได้สักที เพราะเจ้าลูกกระจงตัวนี้ฉลาดเฉลียวอย่าบอกใคร
วันหนึ่ง ลูกกระจงอยากข้ามแม่น้ำไปหากินหญ้า และผลไม้อีกฝั่งแม่น้ำ แต่ไม่รู้ว่าจะผ่านเจ้าจระเข้ร้ายไปได้อย่างไร เจ้าลูกกระจงพยายามครุ่นคิดอย่างหนักจนคิดแผนดี ๆ ขึ้นได้ เจ้าลูกกระจงจึงเดินไปที่แม่น้ำแล้วตะโกนเรียกจระเข้ร้ายเสียงดังลั่น เจ้าจระเข้ก็รีบโผล่พรวดขึ้นมาทันที
“เจ้าลูกกระจง เจ้าเรียกข้างั้นเหรอ ไม่กลัวข้าลากเจ้าไปกินรึไง” ลูกกระจงน้อยแสร้งทําเป็นกลัวตัวสั่น และบอกด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า ได้รับคําสั่งจากพระราชา ให้มานับจํานวนจระเข้ในแม่น้ำใหญ่ เพื่อเชิญไป
งานเลี้ยงค่ำนี้
“บอกให้เพื่อน ๆ ของเจ้าลอยตัวขึ้นมาเรียงกันเป็นแถวยาวไปจนถึงฝั่งโน้นสิ ข้าจะได้นับจํานวนง่าย ๆ แล้วท่านก็อย่าคิดกินข้าล่ะ ไม่งั้นพวกท่านอดไปงานเลี้ยงแน่” เจ้าจระเข้ร้ายหลงเชื่ออุบายของลูกกระจง จึงรีบดําน้ำลงไปบอกพวกพ้อง ชั่วพริบตาฝูงจระเข้ก็ขึ้นมาเรียงตัวเป็นแถวทอดยาวไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง
เจ้าลูกกระจงกระโดดไปบนหัวของจระเข้ร้าย และเพื่อน ๆ จระเข้ของมันทีละตัว ๆ พร้อมกับตะโกนนับจํานวนเสียงดัง จนกระทั่งข้ามขึ้นอีกฝั่งได้สําเร็จ เมื่อทุกอย่างสําเร็จตามแผน เจ้าลูกกระจงก็หันมาหัวเราะยั่วเย้าจระเข้ร้าย
“ขอบใจนะ ลุงจระเข้ ที่ช่วยเป็นธุระทําสะพานให้ข้าข้ามแม่น้ำได้สบาย ๆ แถมยังไม่ต้องถูกกินอีกด้วย” จระเข้ร้ายรู้ตัวว่าถูกหลอกก็หน้าเสีย เพื่อน ๆ จระเข้ต่างรุมต่อว่ามัน ด้วยความโกรธแค้น และพากันตําหนิที่เจ้าจระเข้ร้ายทําให้พวกมันต้องเสียหน้า จากวันนั้นจระเข้ร้ายก็ถูกเพื่อน ๆ เฉยเมยกับมันไปพักใหญ่ทีเดียว
กำเนิดค้างคาว : นิทานประเทศฟิลิปปินส์
นานมาแล้ว แมวจับนกมาได้ตัวหนึ่ง มันก็นั่งกินนกจนอิ่มเหลือแต่ขนกองไว้ ทันใดนั้นแมวก็เห็นหนูวิ่งผ่านมา แมวตะปบไว้ได้ แต่แมวยังรู้สึกอิ่ม จึงคิดว่าจะไว้กินหนูตัวนี้ตอนเย็น จึงวางหนูเอาไว้บนกองขนนก แล้วมันก็ออกไปเดินเล่น หนูตัวนั้นเพียงแต่สลบไปยังไม่ตาย พอหนูรู้สึกตัวก็ขยับตัวจะคลานไปที่รังแต่รู้สึกประหลาดที่ลําตัว พอมองที่ลําตัวก็เห็นมีปีกอยู่ พอกระพือปีกก็บินได้ ทั้งนี้เพราะขนนกที่ตายยังมีเลือดอยู่
ขนที่ชุ่มเลือดจึงติดกับลําตัวหนูแน่น หนูมีปีกตัวนี้จึงบินไปที่กลุ่มนก และขออยู่กับนก และขอแต่งงานกับนกตัวเมีย
นางนกบอกว่า “ฉันไม่แต่งงานกับเธอหรอก รูปร่างเธอน่าเกลียดจริง ๆ เหมือนหนู” หนูมีปีกจึงบินกลับไปหาฝูงหนู ขออยู่กับหนู ฝูงหนูพากันขับไล่หนูมีปีกไม่ให้อยู่ด้วย หนูมีปีกรู้สึกอับอายยิ่งนักที่ตนไม่เป็น
ที่ยอมรับของทั้งหนู และนก จึงต้องซ่อนตัวอยู่ในตอนกลางวันไม่ให้ใครเห็น และออกหากินเฉพาะตอนกลางคืน ปัจจุบันเราเรียกหนูมีปีกนี้ว่า “ค้างคาว”
หมาป่ากับกุ้งฝอย : นิทานประเทศกัมพูชา
นานมาแล้วในฤดูแล้งที่ชายป่าแห่งหนึ่ง หมาป่าตัวหนึ่งเดินหาอาหารมาถึงบึงน้ำแห่งหนึ่งซึ่งแห้งขอดมีเพียงแอ่งน้ำเล็ก ๆ ติดก้นบึง มีกุ้งฝอย หอย ปู ปลา อยู่รวมกันเป็นจํานวนมาก หมาป่าเลียปากพลางคิดว่า เดี๋ยวจะได้อิ่มท้องแล้ว หลังจากเดินหาอาหารมานาน เมื่อตั้งท่าจะจับสัตว์เหล่านั้นกิน กุ้งฝอยตัวหนึ่งตะโกนขึ้นว่า
“เดี๋ยวก่อนท่านหมาป่า ถ้าจะกินพวกเราให้อร่อย ท่านน่าจะเอาพวกเราไป ล้างโคลนออกให้ตัวเกลี้ยงซะก่อนนะ” หมาป่าเห็นด้วย กุ้งฝอยจึงบอกให้หมาป่าหมอบตัวลงในน้ำเพื่อให้บรรดาสัตว์เกาะตามเส้นขน แล้ว
พาไปยังหนองน้ำแห่งใหม่ที่มีน้ำอยู่เต็ม
“เอาล่ะ เราจะล้างตัวรอท่านที่นี่ก่อน ท่านรีบกลับไปพาพวกที่เหลือ มาให้หมดเถอะ จะได้กินรวดเดียวเสียให้อิ่มแปล้ไปเลย” หมาป่าก็ทําตามโดยไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อย เมื่อกุ้งฝอย หอย ปู ปลา ย้ายมากันหมดแล้ว พวกมันก็พร้อมใจกันดําน้ำหายไปในพริบตา ทิ้งให้เจ้าหมาป่ายืนโมโหกระฟัดกระเฟียดที่รู้ว่าตัวเองโดนหลอก!!!
ตำนานขนมครก : นิทานไทย
ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย แอบมีความรักกับ หนูแป้ง สาวสวยประจําหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย ไอ้กะทิก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้าน แต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทําร้าย แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน
แต่แล้วความฝันของไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยกหนูแป้งลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก ไอ้กะทิรู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผน
ป้องกันไว้แล้ว โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง
คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน ฉับพลัน!!…ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ฯ ผู้เป็นพ่อ ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ อารามตกใจนายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง สมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่ ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว
รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิประคองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่บ้านรําพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า “พ่อไม่น่าคิดทําลายความรักของลูกเลย” ตั้งแต่นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทําสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม 6 ค่ํา เดือน 6 ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิกับแม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทําขนมที่หอมหวาน ปรุงจากแป้งและกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนํามาวางคว่ําหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า “จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป” ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม “ขนมแห่งความรัก” หรือ ขนม คนรัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า “ขนม ค-ร-ก” นั่นเอง
ที่มา : http://web.sut.ac.th
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่