ไขข้อสงสัยของคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คน ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ a กับ b ต่างกันอย่างไร ? ทำไมถึงเรียกชื่อ”ไข้หวัดใหญ่” ไปเลยเฉย ๆ ไม่ได้ วันนี้เรามีคำอธิบายมาฝากค่ะ
ช่วงหน้าฝนแบบนี้ โรคที่ผู้ปกครองทุกคนรู้สึกหวาดกลัวที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น “โรคไข้หวัดใหญ่” เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโรคยอดฮิตติดดาวที่มีผู้ป่วยเด็กครองอันดับสถิติการป่วยกันมากที่สุดแทบจะทุกโรงพยาบาล แต่คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยกันหรือไม่คะว่า เจ้าไข้หวัดใหญ่ที่ว่านี้ มีทั้งหมดกี่สายพันธุ์กันแน่ และในแต่ละสายพันธ์ุ์นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วทำไมเราถึงเรียกว่าไข้หวัดใหญ่เฉย ๆ ไม่ได้
ไข้หวัดใหญ่คืออะไร มีกี่สายพันธุ์ ?
ไข้หวัดใหญ่ เป็นอาการหนึ่งที่ร่างกายได้รับการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Influenza ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน ไข้หวัดใหญ่สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายสายพันธุ์ด้วยกันได้แก่
- สายพันธุ์ A
- สายพันธุ์ B
- สายพันธุ์ C
แต่สำหรับในสายพันธ์ C นั้น ถือว่ามีความรุนแรงน้อย อีกทั้งไม่ได้ทำให้เกิดการระบาดของโรคแต่อย่างใด จึงไม่นับรวมอยู่ในกลุ่มของไข้หวัดใหญ่ค่ะ ผิดกับ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a กับ b ที่สามารถแยกย่อยออกได้ดังนี้
- ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A (H1N1)
- ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A (H3N2)
- ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ B ตระกูล Victoria
- ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ B ตระกูล Yamagata
ซึ่งสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดจนเป็นเหตุให้มีการเสียชีวิตนั้นก็คือ ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ชนิด H1N1 นั่นเองค่ะ
ใครคือกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่?
- เด็ก ที่อายุน้อยกว่า 2 ปี จนถึง 5 ปี
- ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
- หญิงตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่อยู่ในระยะ 2 สัปดาห์หลังคลอด
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง
ทำความรู้จักกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่าง ๆ เพิ่มเติมคลิก!
เครดิต: Sanook และ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล