วิจัยชี้! เด็กเล่นมือถือ-แท็บเล็ต เสี่ยงเครียด-วิตกกังวล-ซึมเศร้า - Page 2 of 2 - Amarin Baby & Kids
เด็กเล่นมือถือ

วิจัยชี้! เด็กเล่นมือถือ-แท็บเล็ต เสี่ยงเครียด-วิตกกังวล-ซึมเศร้า

Alternative Textaccount_circle
event
เด็กเล่นมือถือ
เด็กเล่นมือถือ

เด็กเล่นมือถือ มากเกินไป = ติดมือถือ

เราทราบกันแล้วว่า เด็กเล่นมือถือ นานเกินไปนั้นก่อให้เกิดผลเสียอย่างไรได้บ้าง คุณพ่อคุณแม่จึงควรจำกัดเวลาให้ลูกอยู่หน้าจอไม่เกิน 1-2 ชม. ต่อวัน ซึ่งแน่นอนว่าลูกไม่ยอมให้คุณพ่อคุณแม่จำกัดเวลาได้ง่าย ๆ แน่นอน ทีมงาน Amarin Baby & Kids จึงมีเคล็ดลับดี ๆ ในการช่วยไม่ให้ลูกติดมือถือมาฝากค่ะ

6 ขั้นตอนช่วยลูกไม่ให้ติดมือถือ

  1. อย่าปล่อยให้ลูกว่าง

ลองคิดดูว่าเมื่อเราเองอยู่ว่าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือมานั่งดู ลูกก็เช่นกัน การปล่อยให้ลูกเล่นของเล่นเองคนเดียว ลูกจะเล่นของเล่นชิ้นนั้นได้ไม่นาน แล้วก็จะรู้สึกเบื่อ เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรทำ ก็จะหันไปหาสมาร์ทโฟน ที่สามารถเพิ่มความสนุกให้ลูกได้หลายเท่า ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมให้ลูกทำ โดยอาจจะนั่งเล่นของเล่นกับลูก เล่นบทบาทสมมติ หรือหากเล่นในบ้านเบื่อแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจจะพาลูกไปเล่นตามสนามเด็ก เล่นตามสวน  หากิจกรรมนอกบ้าน  เพื่อให้ลูกได้พบกับเพื่อนใหม่ และได้พบกับความสนุกนอกเหนือจากการดูสมาร์ทโฟน หรืออาจจะพาลูกไปเล่นกีฬาอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกชอบก็ได้ค่ะ การหากิจกรรมนอกบ้านนั้น จะช่วยเพิ่มพัฒนาการให้ลูกในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านสังคม อารมณ์ และร่างกาย ได้อีกด้วย

กิจกรรมนอกบ้าน
กิจกรรมนอกบ้าน

2. ออกกฎเกณฑ์ในการใช้สมาร์ทโฟน

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า  ในยุคนี้ที่สมาร์ทโฟนเป็นเหมือนอีกปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิตไปแล้ว การที่จะห้ามไม่ใช้ลูกเล่นเลยก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ลูกได้เล่นมือถือได้ แต่ควรจะทำความตกลงร่วมกันว่าควรใช้เวลาอยู่หน้าจอกี่นาที และไม่ควรเล่นมือถือในเวลาทานข้าว เวลาก่อนนอน หรือเวลาที่ควรจะออกไปเล่นนอกบ้าน เป็นต้น และแทนที่จะปล่อยให้ลูกดูการ์ตูนผ่านมือถือเพียงอย่างเดียว คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกถึงวิธีการใช้สมาร์ทโฟนให้เป็นประโยชน์ เช่นการดูแผนที่ การหาข้อมูลต่าง ๆ หรือแม้แต่การเล่นเกมที่มีประโยชน์ ก็สามารถทำได้เช่นกัน

3. บอกให้ลูกได้รู้ถึงอันตรายจากการใช้สมาร์ทโฟน

เด็กสามารถเข้าใจถึงเหตุผลได้บ้างแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถบอกลูก ๆ ได้ว่าแสงจากหน้าจอมือถือนั้น เป็นอันตรายต่อสายตาได้มากแค่ไหน ไม่รวมถึงรังสีหรือคลื่นต่าง ๆ ที่ออกมาจากมือถือ นอกจากอันตรายที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายของคนที่ดูมือถือนาน ๆ แล้ว ยังมีอันตรายทางด้านสุขภาพจิตที่ลูกอาจจะเป็นเมื่อดูมือถือนานไป

4. เป็นตัวอย่างที่ดี

หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ต่อหน้าลูก เพราะการเล่นโทรศัพท์ต่อหน้าลูก ก็เหมือนการสอนให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ลูกก็เหมือนกระจกที่ส่องตัวคุณพ่อคุณแม่เอง ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ติดมือถือ ก็ไม่แปลกที่ลูกจะติดมือถือบ้าง เพราะลูกจะมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะพ่อแม่ก็ทำ แต่หากคุณพ่อคุณแม่ไม่สนใจที่จะดูแต่มือถือเมื่ออยู่กับลูก และหากิจกรรมทำร่วมกันกับลูก ลูกก็จะเรียนรู้ได้จากตัวอย่างที่อยู่ตรงหน้าของเค้านั่นเอง

5. ทำความเข้าใจกับคนเลี้ยงลูกทุก ๆ คน

หลาย ๆ บ้านที่มีปู่ ย่า ตา ยาย มาช่วยเลี้ยง มักจะเจอกับปัญหาที่คนที่เลี้ยงเองเป็นคนยื่นโทรศัพท์ให้ลูก  เพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เด็กเชื่อฟัง หรือหยุดร้องไห้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรทำความเข้าใจและบอกถึงแนวทางในการเลี้ยงลูกให้กับผู้เลี้ยงทุกคนว่าควรจะเลี้ยงไปในทางเดียวกัน

6. ใช้แอพเป็นตัวช่วย

คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ในการจำกัดเวลาในการดูโทรศัพท์มือถือได้ อย่างเช่น Youtube Kids ที่สามารถปิดแอพพลิเคชั่นได้เองเมื่อลูกดูครบเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ได้กำหนดไว้ เป็นต้น

 

มือถือ แท็ปเล็ต สมาร์ทโฟนต่าง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่อันตรายและไม่ใช่สิ่งที่ผิด  แต่อะไรที่มากเกินไปนั้น ก่อให้เกิดโทษได้มากกว่าประโยชน์ การที่ เด็กเล่นมือถือ มากเกินไปก็สามารถเกิดโทษได้เช่นกัน

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ปัญหาสายตาในเด็ก ที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

ปักหมุด 6 ที่เที่ยวในกรุงเทพฯ พาลูกเที่ยว ใกล้แค่นี้ก็ฟินได้

พาลูกเที่ยว พิพิธภัณฑ์ในกรุงเทพ 5 มิวเซียมเข้าฟรี มีแต่คุ้มกับคุ้ม!!

มือถือ-แท็บเล็ต-โทรทัศน์ ช่วยให้ลูกน้อยกินง่ายจริงหรือ?

 

ข้อมูลอ้างอิงจาก : www.thelondoneconomic.com, www.parentcircle.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up