โดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้ทำการเผยแพร่รายงานพิเศษ พร้อมอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ คลอเดีย แคปปา นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญขององค์การยูนิเซฟ ซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานสถานการณ์เด็กทั่วโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว พบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 2-4 ปี รวมกว่า 300 ล้านคนในประเทศต่าง ๆ มักถูกทำโทษเพื่อสั่งสอนเรื่องความประพฤติ และเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน
รายงานของยูนิเซฟระบุว่า การทำโทษเด็กเป็นการใช้กำลังทางกายภาพ มีทั้งการตบหรือตีตามร่างกายส่วนต่าง ๆ ของเด็ก การใช้ไม้เรียวหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ฟาดหรือเฆี่ยน รวมถึงการเขย่าตัวหรือหยิก แคปปาเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า บางประเทศมีความเชื่อว่า ผู้ที่ทำโทษเด็กด้วยการตบตี มักเป็นผู้ปกครองในครอบครัวที่ฐานะยากจนและไม่ได้รับการศึกษาในระดับสูง แต่ผลวิจัยที่สำรวจในผู้ปกครองมากกว่า 1,100 ล้านคนในกลุ่มประเทศสมาชิกสหประชาชาติ พบว่าครอบครัวที่ฐานะดีก็ใช้วิธีตบตีเพื่อทำโทษเด็กไม่แตกต่างจากครอบครัวที่ฐานะยากจน
ทั้งนี้ซีเอ็นเอ็นได้ระบุว่า ประเทศแรกที่มีการออกกฎหมายห้ามทำโทษเด็กด้วยการตบตีนั้นคือประเทศสวีเดน หลังจากนั้นมา ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกก็เริ่มบังคับใช้กฎหมายที่มีความใกล้เคียงกันนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ผลวิจัยของ กรอกัน เคย์เลอร์ และเอลิซาเบ็ธ แกร์ชอฟฟ์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสตินในรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ เรื่องการวิเคราะห์ประสิทธิผลของการทำโทษด้วยการตีเด็ก มีการสุ่มสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 160,927 คน พบว่าไม่มีหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนว่าการทำโทษเด็กด้วยการตบตีทำให้เด็กมีผลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้จริง แต่กลับพบว่าการใช้กำลังทางกายภาพกับเด็กเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่า เนื่องจากเด็กที่ถูกทำโทษด้วยการตบตีเป็นประจำมีแนวโน้มจะก้าวร้าว มีปัญหาทางจิต และใช้กำลังกับผู้อื่นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่