ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง ให้ทำไรก็ไม่ทำ พบ 9 วิธีสยบความดื้อ - Amarin Baby & Kids
ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง

ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง ให้ทำไรก็ไม่ทำ พบ 9 วิธีสยบความดื้อ

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง
ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง

 

ดร. จิม เทเลอร์ คุณหมอผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาเด็ก ได้ออกมาให้คำแนะนำกับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังประสบกับปัญหา ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง หรือลูกดื้อมาฝากกันค่ะ คุณหมอบอกว่า การที่ ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง แล้วทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่คอยบ่นให้เมื่อยปากนั้น สามารถแก้ไขได้โดย  นำ 9 ข้อนี้ไปใช้

9 วิธีแก้ปัญหา ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง 

เข้าให้ถึง 

ดร. จิม กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าเด็ก อย่างไรก็คือเด็ก อย่าลืมว่าพวกเขาไม่สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องการได้ในเวลาเดียวกัน หากคุณแม่คาดหวังว่า การบอกให้ลูกเก็บอันนี้เสร็จ แล้วไปทำอันนั้นต่อ ทำให้ครบถึงจะไปเล่นนั้น … หวังไปเถอะว่าลูกจะทำได้ อย่าลืมว่าเขาไม่ใช่เรา คุณอาจจะหงุดหงิดใส่พวกเขา พอลูกทำไม่ได้ก็แปลว่า ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง หรือลูกดื้อ! แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ลืมคิดว่า ลูกยังเป็นเด็ก ของแบบนี้ต้องใช้เวลา ค่อย ๆ เรียงลำดับก่อนและหลังอย่างช้า ๆ และวิธีการแก้ปัญหาข้อแรกก็คือ การเข้าให้ถึงตัวลูกนั่นเอง หากคุณอยากให้ลูกทำอะไรละก็ เรียกลูกมาคุยดี ๆ หรือไม่ก็เดินไปหาลูก พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีและใจเย็น ค่อย ๆ บอกเขาว่าคุณอยากให้เขาทำอะไร เสร็จแล้วก็ให้ลูกทวนคำสั่งนั้น เพื่อคุณจะได้รู้ด้วยอย่างไรละคะว่า ลูกเข้าใจคำสั่งของคุณมากน้อยเพียงใด หากลูกพูดผิดหรือมีท่าทางไม่เข้าใจละก็ ใจเย็น ๆ ค่ะ แล้วค่อย ๆ พูดกับลูกใหม่อีกครั้งนึง

ตรงประเด็น

ดร. ริชาร์ด บรอมฟิลด์ นักจิตวิทยาได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การพูดคุยกับเด็ก อย่าพูดสั้น หรือพูดยือเยื้อจนเกินไป เพราะมันยากเกินกว่าจะเข้าใจ ยกตัวอย่างเช่น “หากคุณบอกว่า รีบตื่นจะได้ไปโรงเรียน” … คุณคิดว่า ลูกของคุณจะตื่นมาทำไหม? สิ่งที่คุณจะได้เห็นก็คือ ลูกยังคงนอนอยู่บนที่นอนเหมือนเดิม … ดังนั้น เพื่อให้ทุกอย่างเข้าทางคุณ คุณพ่อคุณแม่จะต้องพูดให้ตรงประเด็นดกับความต้องการพร้อมแนวทางที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น “ตื่นนอน ลุกขึ้นไปอาบน้ำแปรงฟัน ทานข้าว แล้วรีบไปโรงเรียน” หรือ หากลูกของคุณส่งเสียงดังอยู่ในร้านอาหาร แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะพูดว่า “เงียบ ๆ หน่อย หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง” ก็ให้เปลี่ยนเป็น “เราไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียว เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องเคารพคนอื่นด้วยเหมือนกัน” เป็นต้น

ท้าทาย

เด็กทุกคนชอบเล่นเกม ชอบความท้าทาย และชอบที่จะเอาชนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชนะคุณพ่อคุณแม่ของตัวเอง แล้วทำไม เราไม่ตอบสนองความต้องการของลูกกันละ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ หากคุณอยากให้ลูกเก็บที่นอน แทนที่คุณจะต้องคอยบอกว่า “ตื่นนอนมาแล้วเก็บที่นอนด้วย” หรือ “อย่าลืมเก็บที่นอน” เป็นการเล่นเกมแข่งขันกับลูกของคุณพ่อคุณแม่แทน (ซึ่งเกมเหล่านี้ คุณจะต้องยอมเป็นผู้แพ้นะคะ คุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก แล้วลูกก็จะเป็นฝ่ายทำเอง” ยกตัวอย่างเช่น เรามาแข่งกันไหมว่าใครจะพับผ้าห่มหรือเก็บที่นอนได้ไวกว่ากัน ใครไวกว่า แล้วเรียบร้อยจะต้องเป็นฝ่ายชนะ … เท่านี้ละค่ะ พอสิ้นเสียงคุณพ่อคุณแม่ปุ๊บไม่เกินสามนาที สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พยายามบอกให้ลูกทำก็จะเสร็จภายในชั่วพริบตา … ตอนแพ้อย่าลืมสวมบทบาทด้วยนะคะ ลูกจะได้รู้สึกสนุกและขอเล่นเกมแบบนี้อีก เผลอ ๆ อาจจะเป็นคนตั้งเกมขึ้นมาแข่งเองเลยก็ได้

ไม่ชอบก็อย่าทำ

หากคุณบอกให้ลูกทำอะไรแล้ว ลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง ไม่ยอมทำตาม … อยากให้คุณลองกลับมานึกให้ดี ๆ ว่าเรามีพฤติกรรมเช่นเดียวกันนี้ด้วยหรือเปล่า? เพราะเด็กส่วนใหญ่แล้วมีคุณพ่อคุณแม่เป็นไอดอลอยู่แล้ว หากคุณทำอะไร ลูกก็จะคิดว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดี และลูกก็จะพร้อมทำตาม ดังนั้น ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากที่จะต้องเหน็ดเหนื่อยจากการพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาละก็ คุณพ่อคุณแม่ก็จะต้องไม่ทำสิ่งนั้นให้ลูกเห็นค่ะ มิเช่นนั้น ลูกอาจจะย้อนกลับมาเลยก็ได้ว่า “ทีพ่อ/แม่ยังทำ!”

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up