การเก็บสเต็มเซลล์เพื่อลูกน้อย
การเก็บสเต็มเซลล์เพื่อลูกสําหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ คือ การเก็บเลือดจากสายสะดือของลูก เพื่อให้ลูกไว้ใช้ในอนาคต หากลูกน้อยเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งสามารถนำสเต็มเซลล์มาช่วยในการรักษา โดยการเก็บสเต็มเซลล์ของลูกน้อยจะเก็บในวันที่คุณแม่คลอด ก่อนที่รกจะมีการลอกตัวออกจากโพรงมดลูก (ซึ่งคุณแม่และคุณลูกจะไม่เจ็บค่ะ) และไม่สามารถย้อนเวลามาเก็บได้อีก
โดยสเต็มเซลล์ที่เก็บได้หลังคลอดจะถูกนําไปตรวจการติดเชื้อ ตรวจนับจํานวนเซลล์ที่เก็บได้ เติมน้ำยารักษาสภาพ และนําไปแช่แข็งในชั้นไอระเหยของไนโตรเจนเหลว ซึ่งทําให้สเต็มเซลล์คงสภาพได้นานกว่า 20 ปี
สเต็มเซลล์สายสะดือเด็กมีความสมบูรณ์มาก แต่ใช้ได้เฉพาะกับเจ้าของสเต็มเซลล์เท่านั้น ส่วนการนํามาใช้ในการรักษาญาติมีเปอร์เซ็นต์เข้ากันได้เพียงประมาณร้อยละ 25 เท่านั้นค่ะ
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
หากต้องการ ฝากสเต็มเซลล์
หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการที่จะฝากสเต็มเซลล์หลังคลอด เพื่อเก็บไว้ทำประโยชน์ในภายหน้าแก่ลูกน้อย ก็ควรพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และหาข้อมูลประกอบให้มากก่อนตัดสินใจ เนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทหลายบริษัทที่ให้บริการรับฝากสเต็มเซลล์ โดยปัจจัยที่ควรนํามาพิจารณาเลือกนั่นคือ
-
พิจารณาบริษัทฝากสเต็มเซลล์ ที่เชื่อถือได้
- บริษัทนั้นได้รับการรับรองคุณภาพในเรื่องการจัดเก็บสเต็มเซลล์หรือไม่ ปัจจุบันการรับรองคุณภาพในเรื่องนี้ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก คือ สมาคมธนาคารเลือดแห่งสหรัฐอเมริกา(AABB)โดยต้องเป็นการรับรองสถานที่เก็บในเมืองไทยที่จะใช้เก็บเลือดสเต็มเซลล์ของลูกเราจริงๆ เพราะบางแห่งเป็นใบรับรองของสถานที่เก็บในต่างประเทศเท่านั้นใบรับต้องไม่หมดอายุ และได้รับการรักษาสถานภาพอย่างต่อเนื่อง
2. ห้องปฏิบัติการและสถานที่เก็บต้องเป็นสัดส่วนเฉพาะ มีการควบคุมการติดเชื้อ ควรมีระบบเติมไนโตรเจนเหลวอัตโนมัติ คุณพ่อคุณแม่อาจขอไปดูสถานที่เก็บจริง เพื่อให้เห็นกับตา หรืออย่างน้อยต้องเห็นรูปค่ะ
3. ระบบบรรจุถุงเลือดก่อนที่จะนําลงไปแช่แข็งควรเป็นระบบการแพ็คหลายชั้น ชั้นนอกสุดควรเป็นกล่องแข็ง หรืออาจเรียกว่า cassette เพราะถุงเก็บเลือดเป็นถุงพลาสติก เมื่อนําไปแช่แข็งแล้วจะเปราะและบาง หากกระแทกก็อาจเปราะแตกได้ ระบบเก็บควรมีการเก็บคาสเส็ทไว้ในกล่องหรือชั้นเก็บอีกทีหนึ่งก่อน แล้วค่อยนําไปแช่ หรือหากมีระบบบรรจุที่ไม่ใช่ที่กล่าวมา แต่มีวิธีการใหม่ซึ่งได้รับการรับรองและมีมาตรฐานในด้านความปลอดภัยสูงก็อาจนำมาพิจารณาได้
4. ควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของบริษัทว่า มีนักวิชาการที่มีความรู้เฉพาะด้านดูแลด้วยหรือไม่ มีความเชื่อมโยงกับบริษัทในต่างประเทศหรือนานาชาติหรือไม่ เพราะในอนาคตการใช้สเต็มเซลล์อาจมีการแลกเปลี่ยนกันหากมีเครือข่ายระดับนานาชาติก็จะเป็นเรื่องที่ดีค่ะ