ในปัจจุบันวิธีการผ่าคลอดก็ถือเป็นทางเลือกสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่ต้องการความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น ต้องการฤกษ์วันคลอดแน่นอน และต้องการคลอดแบบชนิดที่ไม่ต้องมีอาการเจ็บปวดมาก จึงเป็นเหตุให้สถานการณ์การผ่าตัดคลอดเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งโดยปกติการผ่าคลอดแพทย์มักจะกำหนดวันล่วงหน้า แต่ก็มีอีกหลายกรณีที่เป็นสัญญานเตือนว่า ทำไมต้องผ่าคลอด ข้อบ่งชี้ที่คุณแม่ไม่สามารถเลือกได้เองว่าจะขอคลอดลูกแบบธรรมชาติ
ทำไมต้องผ่าคลอด ข้อบ่งชี้ที่แม่เลือกคลอดเองตามธรรมชาติไม่ได้!
ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ส่งเสริมให้เกิดการคลอดเองตามธรรมชาติก่อน และโดยปกติแพทย์จะแนะนำคุณแม่ตั้งครรภ์ให้คลอดปกติเองก่อน แต่ก็มีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นต้องผ่าคลอดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจคาดไม่ถึง ถ้าแพทย์มีความเห็นว่าการคลอดด้วยวิธีปกติจะทำให้คุณแม่หรือทารกในครรภ์มีความเสี่ยงมากเกินไป ก็จะแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัดคลอด
กรณีเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์แม่
- ลูกไม่กลับหัว หรือทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง, ท่าก้นออก ซึ่งถือเป็นท่าที่ผิดปกติในการคลอด เพราะการคลอดโดยธรรมชาติทารกจะต้องเอาศีรษะลง ดังนั้นการผ่าคลอดจึงเป็นวิธีเหมาะสมที่สุด
- มีความผิดปกติของรก เช่น ภาวะรกเกาะต่ำขวางทางออกของทารก อาจจำเป็นต้องนอนพักบนเตียงเพื่อดูอาการ และเมื่อถึงกำหนดคลอดก็อาจต้องใช้การผ่าคลอด ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด อาการนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวอาจทำให้เกิดเลือดออกและปวดที่บริเวณมดลูก อีกทั้งยังทำให้ทารกไม่ได้รับออกซิเจนจึงทำให้ต้องทำการผ่าคลอดแบบฉุกเฉินเพื่อรักษาชีวิตทารกในครรภ์
- มีภาวะแทรกซ้อนที่ต้องทำให้คลอดโดยเร็ว เช่น สายสะดือย้อย, สายสะดือพันคอ
- มีภาวะผิดสัดส่วนระหว่างศีรษะทารกและอุ้งเชิงกราน ทารกในครรภ์มีขนาดศีรษะที่ใหญ่กว่ากระดูกเชิงกรานของแม่ ทำให้เด็กไม่สามารถลอดผ่านเชิงกรานแม่ออกมาได้ จึงต้องใช้การผ่าคลอด
- ครรภ์เป็นพิษอย่างรุนแรง ทารกอยู่ในภาวะวิกฤติ เสียงหัวใจลูกเต้นช้าผิดปกติ ภาวะความดันโลหิตสูง หรือมีการแตกของมดลูก
- ทารกสำลักน้ำคร่ำ
- มดลูกแตก คือแม่และทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน จำเป็นต้องได้รับการผ่าคลอดโดยด่วน
- ภาวะความเครียดของทารกในครรภ์ ซึ่งมักจะเกิดจากการที่ทารกขาดออกซิเจนไปเลี้ยงอย่างเพียงพอ จำเป็นต้องผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัย
- ตั้งท้องแฝดหรือท้องแฝด 3 คนขึ้นไป ในบางกรณีที่มีลักษณะการกลับตัวของทารกไม่พร้อมสำหรับการคลอด หรือร่างกายคุณแม่ไม่พร้อมสำหรับการคลอดแบบธรรมชาติ ก็อาจต้องใช้การผ่าคลอดแทน
กรณีที่เกิดจากร่างกายของแม่ตั้งครรภ์
- คุณแม่เคยผ่าคลอดมาก่อนหรือเคยผ่าตัดมดลูก โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อคุณแม่เคยผ่านการผ่าคลอดมาแล้ว การคลอดครั้งต่อไปก็อาจต้องใช้การผ่าคลอดเช่นกัน
- มีการวินิจฉัยพบปัญหาสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายต่อแม่ตั้งครรภ์หากทำวิธีคลอดแบบธรรมชาติเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็งปากมดลูก ครรภ์เป็นพิษ มีความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรงหรือมีความเจ็บป่วยอื่น เป็นต้น ซึ่งหากมีภาวะแทรกซ้อนก็จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าคลอด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับทารกในครรภ์
- ปากมดลูกไม่เปิด มีการคลอดที่เป็นไปได้ช้า มีแนวโน้มการคลอดลูกเองตามธรรมชาติไม่สำเร็จ
- การติดเชื้อของแม่ เช่น ติดเชื้อไวรัส HIV โรคตับอักเสบ หรือมีการกำเริบของเริมที่อวัยวะเพศที่สามารถติดต่อสู่ลูกผ่านการคลอดทางช่องคลอด ก็จำเป็นต้องทำการผ่าคลอดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากแม่สู่ลูกที่อาจเป็นอันตรายต่อทารก
- อุ้งเชิงกรานแคบผิดปกติหรือไม่ขยาย โดยปกติเมื่อครบกำหนดคลอดอุ้งเชิงกรานจะขยายออกเพื่อให้เด็กได้คลอดออกจากท้องแม่ แต่หากคุณแม่มีอุ้งเชิงกรานที่ผิดปกติหรืออุ้งเชิงกรานไม่ขยาย ก็จำเป็นต้องคลอดด้วยการผ่าตัดคลอดเท่านั้น
ทั้งนี้ข้อบ่งชี้บางข้อในแต่ละโรงพยาบาลอาจตั้งไว้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการวินิจัยของคุณหมอ ความพร้อมของบุคลากรและเครื่องมือของแต่ละโรงพยาบาล โดยการผ่าคลอดนั้นแบ่งได้เป็น 2 กรณีคือ แบบวางแผนล่วงหน้าและแบบฉุกเฉิน และมักเป็นตัวเลือกหลัง ๆ หากคุณแม่มีร่างกายที่แข็งแรงและสามารถคลอดด้วยวิธีธรรมชาติได้
อ่านต่อ เตรียมตัวอย่างไรเมื่อแม่ต้องผ่าคลอด คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่