น้ำลายเปรี้ยว คนท้อง ผิดปกติจริงหรือ มาดู 6 อาการแพ้ท้องแปลก ๆ ของคนท้อง ที่คุณแม่ท้องอาจได้พบก่อนคลอด และเหตุผลว่าทำไมคุณจึงไม่ควรกังวลกับบอาการเหล่านี้
น้ำลายเปรี้ยว คนท้องผิดปกติไหม? กับ 6 อาการแพ้แปลกๆ ตอนท้อง
อาการแพ้ท้อง เป็นอาการที่เหล่าคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องได้ประสบพบเจอกันมากบ้าง น้อยบ้าง โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ นับเป็นช่วงเวลาสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่ เพื่อปรับสภาพร่างกายให้พร้อมรับกับลูกน้อยที่กำลังเจริญเติบโตภายในตัวของเรานั่นเอง แม้ว่าอาการแพ้ท้องนั้นจะไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่อาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ได้ ถ้าคุณแม่ไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ดังนั้นการที่เราทราบถึงอาการที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์นี้ว่าอาจทำให้เกิดอาการใดบ้างล่วงหน้า จะทำให้สามารถเตรียมการรับมือ หรือปรับจิตใจให้พร้อมที่จะเผชิญ และยังเป็นการช่วยลดความวิตกกังวลเมื่อคุณแม่ต้องเผชิญกับอาการแพ้ลงไปได้
อาการแพ้ท้องที่พบได้บ่อย
- คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ (Morning sickness) เป็นอาการที่พบได้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ประมาณ 6-12 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะค่อย ๆ ทุเลาและหายไปเอง สาเหตุการเกิดยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนทำให้อาหารผ่านเข้ากระเพาะช้า เกิดจากการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมน HCG หรือเกิดจากความวิตกกังวลของคุณแม่เองในช่วงตั้งครรภ์ เป็นต้น
- อารมณ์แปรปรวน (Mood swing) ในช่วงของการตั้งครรภ์นี้ คุณแม่มักจะพบว่าตนเองมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ มากกว่าปกติ เช่น น้อยใจ วิตกกังวล เป็นต้น ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความเครียดกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หรือความวิตกกังวลกับอาการในช่วงตั้งครรภ์
- อาการอยากอาหารบางอย่างมาก (Food Cravings) ในช่วงตั้งครรภ์เป็นที่ทราบกันดีว่า ร่างกายคุณแม่ต้องการสารอาหารมากเพื่อลูกน้อยที่กำลังเจริญเติบโต ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายเกิดการกระตุ้นในคุณแม่รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น และอาจมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงทำให้เกิดอาการอยากอาหารบางชนิดขึ้นมาได้ แต่หากเกิดอาการอยากอาหารแปลก ๆ แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ก่อนรับประทาน
- อาการใจสั่น เป็นลม (Tachycardia, Fainting and Supine Hypotension) เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การนอนหงายจนทำให้มดลูกไปกดทับเส้นเลือดที่กลับสู่หัวใจ ทำให้เลือดกลับสู่หัวใจไม่ดี การเปลี่ยนแปลงอิริยาบถเร็วเกินไป เช่น จากท่านอนเป็นท่านั่ง การที่หลอดเลือดขยายตัวจนทำให้การไหลเวียนเลือดไปยังสมองไม่ดี มีน้ำตาลในเลือดต่ำ มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง เป็นต้น
- เหม็นอาหารบางอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่ก่อนตั้งครรภ์ไม่เคยรู้สึกเหม็น นั่นอาจเป็นสัญชาตญาณการต่อต้านอาหารที่อาจส่งผลต่อลูกในท้องจึงทำให้เหม็นกลิ่นอาหาร
คุณแม่หลายคนอาจคิดว่าอาการแพ้ท้อง เป็นอาการที่น่ารำคาญ แต่ในความเป็นจริงแล้วการมีอาการแพ้ท้องแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการครรภ์ที่ดีเนื่องจากการเป็นสัญญาณของการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นแก่ลูกในท้องนั่นเอง
นอกจากอาการแพ้ที่ได้กล่าวมาข้างต้นที่นับว่าเป็นตัวอย่างของอาการแพ้ที่พบได้บ่อยเท่านั้น แต่เชื่อหรือไม่ว่าเราสามารถพบอาการแพ้ท้องแปลก ๆ ที่อาจทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกเป็นกังวลว่า หากเราแพ้ท้องแบบนี้แล้วนับว่าเกิดความผิดปกติขึ้นหรือไม่ ขอบอกได้เลยว่า คุณแม่ไม่ต้องกังวลกันไป เพราะอาการที่จะกล่าวเหล่านี้ แม้ว่าอาจจะไม่ค่อยพบเจอบ่อยนัก แต่ก็นับว่าเป็นอาการที่ไม่น่าเป็นห่วง และเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ด้วยเช่นกัน
6 อาการแพ้แปลก ๆ ตอนท้อง
1. น้ำลายเยอะ น้ำลายเยิ้ม น้ำลายเปรี้ยว คนท้อง
ในช่วงไตรมาสแรก คุณแม่หลายคนพบว่าจะมีน้ำลายสะสมอยู่ในปากมาก บางครั้งถึงขั้นรบกวนการพูดคุย จนถึงกับต้องบ้วนทิ้ง แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญมากกว่าความกังวลเรื่องสุขภาพ แต่รู้หรือไม่ว่า น้ำลายที่มากเกินไปนั้นเป็นเรื่องปกติในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ และมักจะมีอาการดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 เราเรียกอาการนี้ว่า Ptyalism
โดยปกติ ต่อมน้ำลายในปากจะผลิตน้ำลายออกมาประมาณ 0.75 – 1.5 ลิตรต่อวัน เพื่อให้เกิดความชุ่มชื่นในช่องปาก ช่วยในการรับรส ย่อยอาหาร ป้องกันฟันผุ และฆ่าเชื้อโรคในช่องปาก แต่ถ้าคุณมีภาวะน้ำลายไหลผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ ต่อมน้ำลายก็จะผลิตน้ำลายออกมามากเกินความจำเป็น ซึ่งสามารถบรรเทาอาการดังกล่าวได้โดย
- กินอาหารมื้อเล็กแต่บ่อยขึ้น
- งดอาหารประเภทแป้ง หันมาทานผลไม้ให้มากขึ้น
- แปรงฟันบ้วนปาก วันละหลาย ๆ ครั้ง หรือหายาสีฟันรสมินต์ก็จะทำให้รู้สึกช่องปากหอม สดชื่น อาจช่วยลดอาการได้บ้าง
- เคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาล ช่วยลดปริมาณการผลิตน้ำตาลลงได้
- จิบน้ำบ่อย ๆ
น้ำลายเปรี้ยว คนท้อง มักมีอาการเรอเปรี้ยวหรือแสบร้อนยอดอก (Heart burn) พบได้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ได้ 2 สัปดาห์ ไปจนถึง 12 สัปดาห์ เป็นอาการมีผลมาจากฮอร์โมนโปรโจสเตอโรนไปลดการทำงานและการย่อยของระบบทางเดินอาหารทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนไหวได้น้อยลง และกล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะอาหารคลายตัว รวมทั้งมดลูกที่ใหญ่ขึ้นจะไปดันกระเพาะอาหารให้มีพื้นที่น้อยลง กรดในกระเพาะอาหารจึงไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้คุณแม่มีอาการแสบบริเวณยอดอกหรือร้อนบริเวณคอ ในการพยาบาลควรแนะนำให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส งดอาหารรสจัด แล้วเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่ย่อยได้ง่าย โดยรับประทานครั้งละน้อย ๆ แต่ทานบ่อย ๆ และรับประทานอย่างช้า ๆ เมื่อรู้สึกว่ามีอาการร้อนในอกเกิดขึ้นให้ดื่มนมหรือน้ำอุ่น ๆ เพื่อเจือจางกรด แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
2. เลือดกำเดาไหล และเลือดออกตามไรฟัน
การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนตั้งครรภ์ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลอดเลือดในจมูกขยายตัวได้ และปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นจะไปช่วยเพิ่มแรงกด แรงดันต่อหลอดเลือด ซึ่งเป็นส่วนที่มีความบอบบางเหล่านั้นทำให้เส้นเลือดแตกได้ง่าย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เลือดกำเดาไหล ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ธรรมดาที่เลือดกำเดาไหล ขณะตั้งครรภ์ การที่มีเลือดกำเดาไหลออกมาเพียงเล็กน้อย เป็นครั้งคราว แล้วอีกสักพักก็หยุดไหลถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่อันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์ แต่หากเลือดไหลในปริมาณมาก ไม่หยุดเกิน 30 นาทีควรรีบพบแพทย์
และเหตุผลเดียวกันนี้ที่ทำให้เหงือกของคุณรู้สึกบวมและบอบบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 2 ในการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจัยชาวดัตช์พบว่าเลือดออกตามไรฟันเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงในช่องปากที่พบบ่อยที่สุดที่สตรีมีครรภ์ต้องเผชิญ
วิธีหยุดเลือดกำเดาไหลขณะตั้งครรภ์
- นั่งหรือยืนให้หัวตั้งตรง เพราะการทำแบบนี้จะช่วยลดความดันในหลอดเลือดภายในจมูก และจะช่วยให้เลือดออกช้าลงได้
- ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบปีกจมูกเข้าหากัน บีบโดยไม่ปล่อยออกมาเป็นเวลา 10 นาที
- หากยังมีเลือดไหลอยู่ ให้เอนไปข้างหน้าเล็กน้อยและหายใจเข้าทางปากเพื่อให้เลือดไหลออกมาทางจมูกแทนที่จะไหลลงมาทางด้านหลังคอ
- อมน้ำแข็งหรือวางเจลประคบเย็น ที่ด้านหลังคอหรือหน้าผากเพื่อช่วยให้เลือดแข็งตัว
- หลังจากที่บีบจมูกผ่านไป 10 นาทีค่อยๆ ปล่อยมือที่บีบอยู่เบา ๆ เพื่อดูว่าเลือดหยุดไหลหรือไม่ หากยังมีเลือดออกให้ลองทำตามขั้นตอนนี้อีกครั้งเป็นเวลา 10 นาที
- อย่านอนหรือเอนศีรษะลง เพราะอาจทำให้คุณกลืนเลือดลงไป และอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนได้
3. Nesting อาการแพ้ท้อง…อยากจัดบ้าน
หากในช่วงไตรมาสที่ 3 คุณรู้สึกอยากรื้อบ้านและสร้างใหม่ โปรดจงรู้ไว้ว่า คุณไม่ได้เป็นแบบนี้เพียงคนเดียว เชื่อหรือไม่ว่า มันคือสัญชาตญาณในการทำความสะอาด และจัดระเบียบใหม่เพื่อเตรียมพร้อมรับลูกน้อยของคุณนั่นเอง เฉกเช่นเดียวกับแม่นกที่ทำรังเตรียมวางไข่ แม่แมว แม่หนูแฮมสเตอร์ก็เช่นกัน ซึ่งเราเรียกอาการนี้ว่า Nesting (การทำรัง)
Nesting คือพลังที่ผู้หญิงมักได้รับในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้คุณแม่ทำความสะอาด และจัดระเบียบบ้านเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดของลูกน้อยในครรภ์ มันเกือบจะเหมือนกับนาฬิกาเวลาที่ร่างกายของคุณกำลังบอกคุณว่า ‘คุณต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับทารก’” ดาริน เอล-ชาร์ สูติแพทย์ในออตตาวากล่าว “มันเป็นโหมดป้องกัน แต่คุณอาจพบว่ามันทำให้คุณมีประสิทธิผลอย่างเหลือเชื่อ เพราะคุณแม่จะมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จ”
สิ่งที่ควรระวังในอาการแพ้ท้องอยากจัดบ้าน
มีสติอยู่เสมอเมื่อสัญชาตญาณการทำรังเกิดขึ้น อย่าปีน เอื้อมมือเกิน เอื้อมจนสุดปลายมือ หรือยกของหนักเกินไป และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงภัย เช่น ยืนบนบันไดเพื่อขัดเพดานห้องน้ำ เลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่รุนแรงและเป็นพิษ และยังคงต้องเปิดหน้าต่าง และสวมถุงมือตลอดแม้จะใช้น้ำยาแบบสูตรอ่อนโยนก็ตาม
4. ผมและเล็บ ยาวและหนาขึ้น
ภายในสัปดาห์ที่ 20 คุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนจะสังเกตเห็นว่าผม และเล็บดูเหมือนจะยาวเร็ว และหนากว่าปกติ การที่ผมดูหนาขึ้น เพราะผมของคุณแม่ไม่ร่วงทุกวัน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้น และการไหลเวียนโลหิตที่เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุของอาการเหล่านี้ เพราะฮอร์โมนเป็นสารอาหารในการสร้างผมและเล็บ ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในInternational Journal of Dermatologyเมื่อเดือนเมษายน 2016 ได้ศึกษาสตรีมีครรภ์มากกว่า 300 คน และพบว่ามากกว่าครึ่งสังเกตว่าเล็บของพวกเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ตั้งครรภ์
5. มือและเท้าแดง คัน
คุณแม่อาจพบว่าผิวหนังบริเวณท้องที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นอาจมีอาการคันเมื่อยืดออก เช่นเดียวกับมือและเท้าของคุณแม่ ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นไปยังผิวหนัง และระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ฝ่ามือ และผิวหนังที่มีเลือดมากจนเห็นเป็นสีแดง ส่งผลให้มีอาการคันซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใด ๆ
6. ตะคริวที่ขาบ่อย ๆ
“แม่ท้องบางคนเป็นตะคริวที่ขาอย่างเจ็บปวดในตอนกลางคืน”
ตะคริว เกิดจากการขาดแคลเซียม และมีฟอสฟอรัสมากเกินไปในกระแสเลือด เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ขาทั้งสองข้างของคุณแม่ต้องแบกรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระบบหมุนเวียนโลหิตตึงแน่นเกินไปบริเวณขา ทำให้เกิดตะคริวได้
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- ท่าบรรเทาอาการตะคริวที่ถูกต้อง ค่อยๆ ยืดกล้ามเนื้อออกให้อยู่ในความยาวที่ปกติของกล้ามเนื้อนั้น ๆ และให้ยืดกล้ามเนื้ออยู่จนกระทั่งหายปวด อาจใช้เวลาประมาณ 1 – 2 นาที แล้วลองปล่อยมือดูว่ากล้ามเนื้อนั้นๆ ยังเกร็งอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีอยู่ให้ทำซ้ำจนกระทั่งปล่อยมือแล้วไม่มีอาการเกร็งตัว
- เสริมสารอาหารด้วยการดื่มนม และการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ผักใบเขียว เมล็ดฟักทอง รวมถึงปลาเล็กปลาน้อย หรืออาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม จะช่วยลดการเกิดตะคริวได้ ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นตะคริวขณะเข้านอนตอนกลางคืนบ่อยๆ ก่อนนอนควรดื่มนมให้มากขึ้น และยกขาสูง ใช้หมอนรองขาให้สูงจากเตียงประมาณ 10 ซม. (4 นิ้ว)
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.nct.org.uk/www.sanook.com/medthai.com /www.todaysparent.com /www.paolohospital.com
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
หมอสูติตอบชัด! คนท้องฉีดวัคซีนโควิดได้ไหม ฉีดอย่างไรให้..ปลอดภัยทั้งแม่ลูก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่