3. การทำหมันหญิงแบบอุดท่อนำไข่ (Essure)
เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่า 2 วิธีแรก โดยจะเป็นการสกัดกั้นไม่ให้ไข่กับสเปิร์มมาเจอกัน โดยใช้วัตถุขนาดเล็กที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ สอดเข้าไปในท่อนำไข่ โดยใช้กล้องส่องตรวจโพรงมดลูก ใส่เข้าไปทางช่องคลอด ผ่านปากมดลูก เพื่อสร้างปฏิกิริยากระตุ้นให้ร่างกายให้สร้างพังผืดขึ้นมาปิดท่อนำไข่ ซึ่งจะใช้เวลาในการทำเพียง 5 นาทีเท่านั้น
หลังทำเสร็จก็ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดแต่อย่างใด และเพียงชั่วเวลา 3 เดือนหลังทำหมัน เนื้อเยื่อที่อยู่รอบ ๆ ขดลวดก็จะเจริญเติบโตจนท่อนำไข่ถูกอุดตันลงอย่างสมบูรณ์ หลังจากใส่อุปกรณ์เข้าไป ผู้ทำหมันสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วยเพื่อรอให้ร่างกายสร้างพังผืดขึ้นมาปิดท่อรังไข่ได้ทั้งหมดก่อน
4. การทำหมันหญิงโดยการตัดมดลูก (Hysterectomy)
เป็นการผ่าตัดเพื่อเอามดลูกออกไปจากร่างกาย (ไม่รวมรังไข่) ซึ่งเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ได้แบบถาวร และวิธีนี้ยังใช้สำหรับการรักษาโรคบางโรคได้อีกด้วย เช่น มะเร็งของระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี
ข้อดีของการทำหมันหญิง คือ
- เป็นวิธีคุมกำเนิดที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการวางแผนครอบครัว
- ไม่ขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคในการกำหนดระยะเวลาในการร่วมเพศ
- ไม่มีผลต่อการให้นมบุตร
- ไม่ต้องเสียเวลาในการเข้ารับบริการการคุมกำเนิด
- ไม่ต้องใช้ยาฮอร์โมนคุมกำเนิดหรืออุปกรณ์ต่างๆในการคุมกำเนิด
- ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาฮอร์โมนคุมกำเนิด
- ไม่ต้องพะวงเกี่ยวกับการลืมรับประทานหรือฉีดยาคุมกำเนิด(ยาฉีดคุมกำเนิด)
ข้อเสียและจำกัดของการทำหมันหญิง คือ
- ต้องได้รับการผ่าตัดในห้องผ่าตัด
- บุคลากรด้านการแพทย์ผู้ให้การผ่าตัด ต้องมีความรู้ ความชำนาญในการผ่าตัดทำหมัน
- ผู้มารับบริการมีแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง
- ต้องใช้ยาระงับปวด และยาดมสลบระหว่างผ่าตัด
- หากการคุมกำเนิดล้มเหลวมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้สูง
- ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- เป็นการคุมกำเนิดถาวร หากต้องการตั้งครรภ์ต้องมาผ่าตัดแก้ไข ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และอัตราการประสบความสำเร็จจากการแก้ไขต่ำ