ผู้หญิงที่ควรมีการฝากไข่
การฝากไข่ คือ?
การฝากไข่ คือการนำเซลล์ไข่ไปแช่ไนโตรเจนเหลว ในอุณหภูมิ -196 องศาเชลเซียส เก็บไว้ได้นานหลายปี ซึ่งในต่างประเทศมีเด็กที่คลอดจากการฝากไข่ตั้งแต่ปี 1986 และมีการคลอดเยอะขึ้นเรื่อยๆ ด้วยวิธีนี้ ซึ่งปกติในรังไข่ของผู้หญิงจะมีไข่ 400 ใบ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งทุกรอบเดือนไข่จะตก 1 ครั้ง ส่วนคุณภาพของไข่ที่ตกมาแต่ละรอบเดือนก็มีทั้งคุณภาพดีและไม่ดี เมื่อเราอายุมากขึ้นจะยิ่งมีโอกาสทำให้โครโมโซมในเซลล์ไข่นั้นผิดปกติ ทำให้เด็กที่เกิดมาผิดปกติได้มากขึ้น
ในช่วงหลายปีหลังมานี้ เรามักได้ยินเรื่องของ การฝากไข่ มากขึ้นเนื่องจากผู้หญิงยุคใหม่มีหน้าที่การงานที่ไม่น้อยหน้าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงมีการแต่งงานที่ช้าลง ไม่เพียงแต่ผู้หญิงทั่วไปที่นิยมการฝากไข่ แต่เหล่าเซเลบ ซุปตาร์คนบันเทิงก็หันมาฝากไข่กันมากขึ้น แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งจุดเริ่มต้นในสมัยก่อนใช้สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็ง และต้องการเก็บแช่แข็งไข่ไว้ก่อน เพราะตัวคนไข้เองอาจจะต้องได้รับยาเคมี หรือรังสีที่ทำให้ไข่ในรังไข่ถูกทำลายหายไป นอกจากนั้นยังมีกลุ่มโรคที่ทำให้รังไข่เสื่อมเร็วกว่าปกติ เช่น โรคทางพันธุกรรม Turner syndrome ซึ่งถ้าคนกลุ่มนี้แต่งงานช้าก็จะหมดโอกาสมีบุตร ดังนั้น จึงได้นำวิธีแช่แข็งไข่มาใช้ในกันในกลุ่มนี้
หลังจากนั้นจึงมีการนำมาใช้ในเรื่องอื่นๆมากขึ้น สมัยก่อนมีการแต่งงานเร็วจึงมีลูกง่าย แต่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ทำงาน สร้างครอบครัวให้มั่นคงก่อน กว่าจะตัดสินใจมีลูกก็อายุมากขึ้นแล้ว รวมถึงปริมาณและคุณภาพของไข่ก็ลดลง ทำให้มีบุตรยาก จึงได้เกิดการแช่แข็งไข่เพื่อต้องการใช้ในอนาคต
ผู้หญิงที่ควรมีการฝากไข่
- ผู้หญิงที่อายุมากขึ้น ซึ่งโดยปกติทั่วไปอายุมากกว่า 35 ปี มักมีข้อบ่งชี้ว่าปริมาณไข่ คุณภาพไข่จะลดลงด้วย
- ผู้หญิงที่มีแฟนแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน แต่มีการวางแผนอยากมีลูกในอนาคตก็สามารถมาฝากไข่ไว้ก่อนได้
- ผู้หญิงที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ทำงานเกี่ยวข้องกับสารเคมีต่างๆ
- ผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง เพราะการรักษาโรคมะเร็งต้องใช้ยาเคมีบำบัด และมีการฉายแสง ซึ่งทั้งสองวิธีนี้จะทำลายเซลล์สืบพันธุ์ คือ เซลล์ไข่ เช่นเดียวกับผู้ชาย แพทย์จะแนะนำให้ผู้หญิงเก็บเซลล์ไข่และผู้ชายเก็บอสุจิไว้ก่อนการรักษา
- มีประวัติครอบครัวหมดประจำเดือนเร็ว
- เคยผ่าตัดซีสต์ที่รังไข่
การฝากไข่ ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
หากใครที่กำลังวางแผนอยากมีลูก เตรียมตัวฝากไข่ ต้องเริ่มจากการปรึกษาสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนนะคะ ซึ่งก่อนฝากจะมีกระบวนการที่ต้องเตรียมตัว ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเก็บไข่ เมื่อว่าที่คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงดี คุณหมอก็จะเริ่มขั้นตอนเตรียมการเก็บไข่ ดังนี้
- แสดงความต้องการว่า ต้องการฝากไข่ โดยจะมีการซักประวัติ และอื่นๆ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการใช้ยา เพื่อกระตุ้นรังไข่ เพื่อเร่งให้ร่างกายสร้างไข่ หรือให้มีไข่มากกว่า 1 ใบ เช่น ประมาณ 10 – 20 ใบ เพราะการเก็บไข่จะไม่เก็บทีละใบ เพราะต้องใช้เวลา และป้องกันความผิดพลาด ส่วนยาที่ใช้กระตุ้นนั้น จะเป็นยาฉีดชนิดเดียวกันกับที่ใช้ทำเด็กหลอดแก้ว โดยการฉีดกระตุ้นรังไข่ทุกวัน ประมาณ 4 – 5 วัน จากนั้นคุณหมอจะนัดตรวจดูว่าร่างกายตอบสนองกับยาดีหรือไม่ มีขนาดของไข่ที่ใช้ได้หรือยัง
- เมื่อใช้ยาทำให้ตกไข่แล้ว คุณหมอจะนัดมาดูดไข่ ในช่วงที่ว่าที่คุณแม่กำลังมีประจำเดือน มีการเจาะเลือด ตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อดูว่ามีไข่อยู่ข้างไหน จำนวนเท่าไหร่ เมื่อได้จำนวนไข่ที่มากพอ การกระตุ้นรังไข่เพื่อเก็บไข่นี้ จะใช้เวลาประมาณ 8 – 10 วัน เมื่อไข่พร้อมแล้ว มีความแข็งแรง และมีจำนวนมากพอ คุณหมอจะเริ่มดูดเก็บไข่จากรังไข่ของว่าที่คุณแม่ ในช่วงประมาณวันที่ 2 หรือ 3 ของการมีประจำเดือน
ขั้นตอนการเก็บรักษาไข่ด้วยวิธีแช่แข็ง
ขั้นตอนการฝากไข่ ไม่แตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้วปกติค่ะ เพราะจะมีการฉีดยากระตุ้นรังไข่ประมาณ 10 วัน โดยเฉลี่ย ฉีดยาทุกวัน มีการติดตามผลการเจริญเติบโตของไข่ ด้วยการทำอัลตร้าซาวด์ รวมถึงตรวจฮอร์โมนเป็นระยะๆ เมื่อไข่ได้ขนาดตามที่ต้องการจะมีการฉีดยาที่เรียกว่า HCG เพื่อทำให้ไข่สุก หลังจากฉีดยา HCG ไป 36 ชั่วโมงแล้ว จึงทำการเจาะและดูดไข่ออกทางช่องคลอด ซึ่งถ้าทำเด็กหลอดแก้วตามปกติก็จะมีการผสมกับอสุจิในวันเดียวกันกับที่เก็บไข่ แต่ถ้ามีการเก็บรักษาไข่อย่างเดียว ก็ไม่ต้องผสมกับอสุจิ โดยทำการเลือกไข่ที่สมบูรณ์และแช่แข็งไข่เหล่านั้นไว้
การฝากไข่มีข้อดี หรือข้อเสียอย่างไรบ้าง?
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่