ยาคุมฉุกเฉิน เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้สำหรับการคุมกำเนิดหลังคลอด โดยประสิทธิภาพในการป้องกันจะอยู่ที่ประมาณ 85% แต่การกินยาคุมฉุกเฉินนั้น อาจมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ตามมาได้
เตือนแม่! ยาคุมฉุกเฉิน กินบ่อย ๆ เสี่ยงท้องนอกมดลูก!
องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าในทุกปี ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เป็นสาเหตุนำไปสู่การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยของผู้หญิงอย่างน้อย 20 ล้านคน ซึ่งกว่า 100,000 คนต้องเสียชีวิตลงในที่สุด เพราะเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ และแม้ว่าหลายหน่วยงานจะมีการรณรงค์ให้ความรู้ถึงอันตรายและข้อจำกัดในการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน แต่ปัจจุบันยังพบว่ามีการใช้ยาคุมฉุกเฉินกันอย่างแพร่หลายทั้งในกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มวัยทำงาน โดยพบว่าส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น หลายคนนำไปใช้เหมือนยาคุมกำเนิดธรรมดา หรือกินทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
นี่เป็นข้อความจากเภสัชกรหญิงรองศาสตราจารย์ดอกเตอร์บุษบา จินดาวิจักษณ์ อุปนายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ที่ได้แสดงความกังวลถึงการใช้ยาคุมฉุกเฉินผิดวัตถุประสงค์ของหญิงไทย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่ทานในระยะยาว ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉินให้มากขึ้น
ยาคุมฉุกเฉิน คืออะไร?
ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pill) เป็นยารับประทานที่ใช้ป้องกันการตั้งครรภ์หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้คุมกำเนิด หรือเกิดความผิดพลาดจากการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น ถุงยางอนามัยฉีกขาด ฝ่ายหญิงลืมรับประทานยาคุมกำเนิด หรือแม้กระทั่งการถูกข่มขืนกระทำชำเรา ผู้หญิงควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน โดยตัวยาจะส่งผลยับยั้งหรือชะลอการตกไข่ รวมไปถึงสร้างเมือกที่บริเวณปากมดลูกเพื่อป้องกันไม่ให้สเปิร์มเข้าไปผสมกับไข่ได้
โดยตัวยาสำคัญในยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเป็นฮอร์โมนเดี่ยวและเป็นฮอร์โมนเพศหญิง มีชื่อว่าเลโวนอร์เจสเตรล ขนาดเม็ดละ 750 ไมโครกรัม ซึ่งสูงกว่าปริมาณที่มีในยาคุมชนิดธรรมดา 5 เท่า โดยที่ยาคุมชนิดธรรมดาจะเป็นชนิดฮอร์โมนรวม มีฮอร์โมนเพศหญิง 2 ชนิด แต่ละเม็ดมีเลโวนอร์เจสเตรล 150 ไมโครกรัม และเอสโตรเจน 30 ไมโครกรัม
ยาคุมฉุกเฉิน กินอย่างไร?
ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะดีที่สุดเมื่อรับประทานยา 2 เม็ด และเริ่มเม็ดแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 95% หากช้ากว่านี้แต่ไม่เกิน 48 ชั่วโมง จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 85% หรือถ้าช้ากว่านี้อีกแต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์จะลดลงเหลือเพียง 75% ดังนั้นหากเริ่มยาเม็ดแรกช้า กว่า 72 ชั่วโมง จะมีโอกาสตั้งครรภ์สูงขึ้นอย่างมาก ส่วนยาเม็ดที่ 2 ให้รับประทานหลังจากยาเม็ดแรก 12 ชั่วโมง หลังจากนั้น 2-3 วันจะมีเลือดคล้ายระดูออกมา
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่