ผลวิจัยเผย! คุณพ่อท่านไหนกินยาแก้แพ้เป็นประจำ เสี่ยงต่อการ “มีบุตรยาก”
หากคุณพ่อท่านไหนที่อยากมีลูก แต่ติดปัญหาพยายามเท่าไรก็ไม่สมหวังเสียที อาจจะต้องตรวจเช็คตัวเองให้ดีหลังอ่านบทความนี้!
เมื่อคณะนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันชื่อดัง ได้ทำการตีแผ่ข้อมูลงานวิจัย ถึงแนวโน้มที่ยาแก้แพ้กลุ่มแอนติฮิสตามิน อาจจะมีส่วนทำให้การผลิตฮอร์โมนในเพศชายผิดปกติได้ หากใช้ยานี้ต่อต่อกันเป็นระยะเวลานาน
คณะวิทยาศาสตร์จากสถาบันชีววิทยาและการทดลอง ทางการแพทย์ของอาร์เจนตินา ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลลงในวารสาร Reproduction โดยระบุว่า ผลการทดลองกับสัตว์ในงานวิจัยหลายชิ้นที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ชี้ถึงแนวโน้มที่ยาแก้แพ้กลุ่มแอนติฮิสตามีนจะทำให้การผลิตฮอร์โมนเพศชายจากอัณฑะผิดปกติ หากใช้ยานี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
โดยยากลุ่มแอนติฮิสตามีน (Antihistamines) หรือยาแก้แพ้ที่นิยมใช้ลดน้ำมูก ผื่นคัน และภูมิแพ้จากสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ทั่วไปนั้น ในระยะยาวอาจส่งผลให้การทำงานของอัณฑะบกพร่อง และเป็นปัญหาต่อการเจริญพันธุ์ของผู้ชายได้
ผลวิเคราะห์ดังกล่าวชี้ว่า แอนติฮิสตามีนอาจส่งผลให้สเปิร์มหรือตัวอสุจิมีจำนวนลดลง ทั้งมีอัตราการตายสูงและรูปร่างผิดแปลกไปจากมาตรฐานด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการมีบุตรยาก
ทั้งนี้ ดร. คาโรลินา มอนดิโญ ผู้นำคณะนักวิจัยดังกล่าวว่า ฮิสตามีน (Histamine) เป็นโมเลกุลที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่ล่วงล้ำเข้ามา ทำให้เกิดอาการแพ้เช่น จามหรือคัน แต่นอกจากนั้นแล้วฮิสตามีนยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบควบคุมวงจรการหลับและตื่น รวมทั้งพฤติกรรมทางเพศและการเจริญพันธุ์อีกด้วย หากใช้ยาแก้แพ้ซึ่งมีผลยับยั้งการทำงานของฮิสตามีนมากเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบเรื่องการมีบุตรได้
อย่างไรก็ดี ดร. คาโรลินา กล่าวว่า “ยังไม่มีการทดลองในมนุษย์ เพื่อยืนยันเรื่องผลข้างเคียงของยาแก้แพ้ต่อการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศของผู้ชายโดยตรง จึงอาจต้องมีการทดลองซ้ำในวงกว้างขึ้นอีก ซึ่งอาจนำไปสู่การคิดค้นยาแก้แพ้ชนิดใหม่ ที่จะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าวขึ้น”
เช่นเดียวกับ ดร.ฉันนะ ชัยเสนา ผู้เชี่ยวชาญจากอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (ไอซีแอล) แสดงความเห็นว่า ผลการวิเคราะห์ดังกล่าว ยังไม่สามารถบ่งชี้ได้แน่นอนว่ายาแอนติฮิสตามีนเป็นตัวการที่ทำให้จำนวนของสเปิร์มลดลง เพราะในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา คุณภาพของตัวอสุจิในหมู่ประชากรเพศชายทั่วโลกลดลงเรื่อย ๆ จากหลายสาเหตุ อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้ลดการใช้ยาแก้แพ้ลงเหลือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด