ประจำเดือนไม่มากี่วันท้อง เมื่อการคุมกำเนิดผิดพลาด และไม่มีวิธีไหนได้ผล 100% โอกาสที่คุณจะตั้งครรภ์ย่อมมีเสมอ มาเช็กอาการคนท้องในวันเมนไม่มา
ประจำเดือนไม่มากี่วันท้อง เช็กอาการบ่งบอกว่าคุณท้องแน่ ๆ!!
หลังมีเพศสัมพันธ์ คุณกำลังกลุ้มใจอยู่หรือเปล่า กำลังกังวลเกี่ยวกับประจำเดือนที่คลาดเคลื่อนอยู่หรือไม่ มาลองเช็กอาการเหล่านี้กันก่อนว่าคุณมีอาการแสดงต่าง ๆ เหล่านี้กันกี่ข้อ
คุณกำลังมีอาการ…
- คัดตึงเต้านม หน้าอกบวม อาจรู้สึกเจ็บเต้านมและรู้สึกไม่สบายเป็นเวลาหลายสัปดาห์ และรอบ ๆ หัวนมอาจมีสีเข้มขึ้น
- คลื่นไส้และอาเจียน เป็นอาการแบบพะอืดพะอม ไม่สบายท้อง
- เหนื่อยล้า เหนื่อยง่าย เหนื่อยแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
- อารมณ์แปรปรวน การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ไวเกิน จนคุณเองยังรู้สึกได้ว่าไม่ปกติ
- วิงเวียนศีรษะ รู้สึกมึน ๆ โงนเงน แบบบอกไม่ถูก
- ปวดปัสสาวะบ่อย แบบไม่ใช่อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไม่มีอาการปวดแสบร่วม
หากคุณกำลังมีอาการเหล่านี้ นั่นคือ สัญญาณของคนท้อง!!
ประจำเดือนไม่มากี่วันถึงท้อง เป็นคำถามคาใจ วนเวียน สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรือเกิดความผิดพลาดในการคุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัยขาด ลืมกินยาคุม เป็นต้น แต่รู้หรือไม่ว่า การคุมกำเนิดแม้ไม่ได้เกิดความผิดพลาด ก็ยังไม่ได้ให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด 100%
วิธีคุมกำเนิดที่คุณใช้นั้น มีโอกาส เสียงตั้งครรภ์ กี่เปอร์เซ็นต์ ?
1.ห่วงอนามัย (Intrauterine device)
เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ชิ้นเล็ก ๆ ที่มีไว้สำหรับใส่เข้าไปในโพรงมดลูกของสตรี เพื่อทำให้สภาพในโพรงมดลูกไม่เหมาะแก่การฝังตัวของตัวอ่อน จึงใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ชั่วคราวได้ดี โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้
- ห่วงอนามัยหุ้มทองแดง (IUD with copper) ในปัจจุบันที่ใช้กันอยู่จะมี 2 ชนิด คือ มัลติโหลด (มีอายุการใช้งานได้ 3 ปี สำหรับ Cu250 และ 5 ปี สำหรับ Cu375) และคอปเปอร์ที (มีอายุการใช้งาน 10 ปี)
- ห่วงอนามัยเคลือบฮอร์โมน (IUD with progestogen) มีอยู่ด้วยกัน 2 ขนาด คือ LNg14 (Skyla®) ที่ใช้คุมกำเนิดได้นาน 3 ปี และ LNg20 (Mirena®) ที่ใช้คุมกำเนิดได้นาน 5 ปี
ประสิทธิภาพ : มีโอกาสตั้งครรภ์น้อยมาก เพียง 0.01-1%
2.ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (combined oral contraceptives: COC)
คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดที่เป็นแผง มีส่วนประกอบของฮอร์โมนรวมสองชนิด ได้แก่ เอสโตรเจนและโปรเจสติน ซึ่งยับยั้งการตกไข่และทำให้อสุจิเคลื่อนที่ยากขึ้น บางยี่ห้อมีเพียง 21 เม็ดแล้วเว้นไป 7 วันค่อยเริ่มกินแผงใหม่ แต่ส่วนใหญ่มี 28 เม็ด ซึ่ง 7 เม็ดสุดท้ายเป็นแป้งหรือวิตามินเพื่อป้องกันการลืมกินยา
วิธีการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด: ให้เริ่มต้นกินยาในวันแรกที่ประจำเดือนมาหรือภายใน 5 วันแรกของรอบเดือน จากนั้นต้องกินยาวันละ 1 เม็ดในเวลาเดียวกันของทุกวัน จึงแนะนำให้กินก่อนนอน และไม่จำเป็นต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่น
อย่างไรก็ตาม ยาเม็ดคุมกำเนิดมีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคบางโรค เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด จึงควรปรึกษาหมอหรือเภสัชกรก่อนใช้
ประสิทธิภาพ : มีโอกาสตั้งครรภ์ 1-9 %
3.ถุงยางอนามัย(ชาย) (Male latex condom)
คือ อุปกรณ์ที่ใช้คุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง (หากใช้อย่างถูกวิธี) สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเอดส์ นอกจากจะใช้เพื่อคุมกำเนิดแล้วยังป้องกันโรคได้ด้วย
ประสิทธิภาพ : มีโอกาสตั้งครรภ์ 2-18 %
4.ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive implant)
โดยเป็นการใช้ฮอร์โมนชนิดเดียว คือ โปรเจสติน (Progestin) ที่บรรจุเอาไว้ในหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็ก ๆ ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันชนิดกลม นำมาฝังเข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านที่ไม่ถนัด ซึ่งฮอร์โมนจะค่อย ๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกาย และไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา จึงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ประสิทธิภาพ : มีโอกาสตั้งครรภ์น้อยมาก เพียง 0.01%-0.5%
5.ยาฉีดคุมกำเนิด (Injectable contraceptive)
คือ วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวแบบหนึ่ง โดยจะเป็นการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อของสตรีในระยะเวลาตามที่แพทย์กำหนด หลังจากฉีดตัวยาจะค่อย ๆ ขับฮอร์โมนออกมา เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากในรายที่ต้องการเว้นระยะการมีบุตร เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง ทำได้ง่าย สะดวก และมีราคาถูก โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
- ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งเป็นยาฉีดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เพียงอย่างเดียว คือ ยา Depot Medroxyprogesterone acetate (DMPA) ขนาด 150 มิลลิกรัม (ใช้ฉีดเข้ากล้ามทุก 3 เดือน) เป็นตัวยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน มีชื่อทางการค้าว่า Depo-Provera® และอีกชนิดคือยา Norethisterone Enanthate (NET-EN) ขนาด 200 มิลลิกรัม มีชื่อทางการค้าว่า Noristerat® (ใช้ฉีดเข้ากล้ามทุก 2 เดือน)
- ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เป็นยาฉีดคุมกำเนิดแบบใหม่ที่ผลิตมาเพื่อลดอาการผิดปกติของประจำเดือน ในยาฉีดจะมีทั้งฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) และฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ชนิดนี้มีชื่อทางการค้าว่า Cyclofem® และ Lunelle™ ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อด้อยของยาฉีดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวและเพื่อเป็นการเลียนแบบฮอร์โมนของร่างกาย (ใช้ฉีดเข้ากล้ามทุก ๆ 1 เดือน)
ประสิทธิภาพ : มีโอกาสตั้งครรภ์ 1-9%
6.การนับระยะปลอดภัย (safety period)
“หน้า 7 หลัง 7” เป็นระยะปลอดภัย โดยนับจากวันแรก ที่มีประจำเดือน คือ 7 วันก่อน ‘หน้า’ ที่จะมีประจำเดือนวันแรก และ 7 วัน ‘หลัง’ จากวันแรกที่มีประจำเดือนแล้ว เพราะในระยะนี้จะยังไม่มีไข่ตก จึงสามารถมีเพศสัมพันธ์ ได้โดยไม่ตั้งครรภ์ แต่วิธีการนี้ไม่เหมาะกับคนที่ประจำเดือนมาไม่แน่นอน หรือมีรอบเดือนรอบสั้นที่สุดกับรอบยาวที่สุดต่างกันมากกว่า 10 วัน (จะต้องจดบันทึกประวัติประจำเดือนมาแล้วหนึ่งปี) หรือช่วงที่มีอารมณ์เครียด ก็สามารถทำให้การตกไข่เปลี่ยนแปลงไปได้
ประสิทธิภาพ : มีโอกาสตั้งครรภ์สูงถึง 24% จึงไม่ควรใช้เป็นวิธีหลักในการคุมกำเนิด
จะเห็นได้ว่า วิธีการคุมกำเนิดทุกวิธีที่กล่าวมานั้น ไม่มีวิธีไหนที่ให้ผล ให้ประสิทธิภาพได้ถึง 100% เต็ม เมื่อคุณมีเพศสัมพันธ์แม้จะป้องกัน หรือไม่ป้องกัน หรือเกิดการผิดพลาดก็ตาม โอกาสที่คุณจะตั้งครรภ์จึงมีอยู่ โดยปกติหากมีเพศสัมพันธ์แล้วประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนดประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจเป็นไปได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ ซึ่งวิธีนี้อาจใช้ได้สำหรับผู้หญิงที่ประจำเดือนมาตรงกำหนดทุกเดือน แต่สำหรับผู้หญิงที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ และสงสัยว่ามีโอกาสตั้งครรภ์ เพื่อให้แน่ใจควรใช้ชุดตรวจครรภ์เพื่อยืนยันผล อย่างไรก็ตาม ประจำเดือนไม่มาอาจเกิดสาเหตุอื่น ๆ ได้ เช่น การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ความเครียด วัยหมดประจำเดือน ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ เป็นต้น
อ่านต่อ >>ประจำเดือนไม่มากี่วันท้อง ?? กลุ้มใจจัง ต้องทำอย่างไรดี คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่