ชื่อนั้นสำคัญไฉน นอกจากชื่อที่เป็นมงคลตามตำราแล้ว พ่อแม่จ๋าฉุกคิดสักนิดหากจะ ตั้งชื่อลูก ฟรุ้งฟริ้งตามกระแส รู้ไหมอาจเป็นต้นเหตุให้ลูกถูกบุลลี่ตลอดชีวิตได้
คิดให้ดีก่อน ตั้งชื่อลูก เมื่อลูกโดนล้อเพราะชื่อฟรุ้งฟริ้ง!!
เมื่อวันที่ 29 เมษายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า แม้โลกจะประสบวิกฤตหนักจากเหตุแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกรวมกันแล้วมากกว่า 2 แสนราย และมีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 3 ล้านคนก็ตาม แต่พ่อแม่หลายคนยังกลับพากันตั้งชื่อลูกให้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ “โควิด-19” ระบาด โดยไม่หวั่นกลัวว่าจะเป็นการสร้างตราบาปให้ลูกไปตลอดกาล แต่กลับมองว่าการตั้งชื่อลูกว่าโควิดจะเป็นสิ่งคอยเตือนใจให้นึกถึงวันที่พวกเขาต้องฟันฝ่าความทุกข์ยากเจ็บปวดจากเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคครั้งเลวร้ายนี้
คอลลีน ทาเบซา หญิงชาวฟิลิปปินส์ ให้กำเนิดลูกสาวที่โรงพยาบาลในเมืองบาโคลอด ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 13 เมษายน ซึ่งเธอและ จอห์น ทูปาส สามีร่วมกันตั้งชื่อให้ลูกว่า “โควิด มาเรีย” โดยฝ่ายสามีกล่าวว่า เหตุการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้สร้างความเดือดร้อนครั้งยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก “ผมต้องการตั้งชื่อลูกเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเราว่าโรคโควิดไม่เพียงทำให้เราเผชิญความทุกข์ยากเท่านั้น แต่แม้สถานการณ์เช่นนี้ ความสุขยังเกิดขึ้นกับเรา”
นายทูปาสกล่าวอีกว่า แม้การตั้งชื่อลูกว่าโควิดของเขาจะถูกโลกโซเชียลกระหน่ำวิพากษ์วิจารณ์ แต่เขาก็จะไม่เปลี่ยนใจ และว่า ลูกสาวอาจจะเผชิญกับการถูกบูลลี่ได้ แต่เขาจะสอนให้ลูกสาวเป็นคนดี
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.matichon.co.th
คุณคิดเห็นอย่างไรกับข่าวนี้...เราเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ในข่าวดังกล่าว ก็ต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกอย่างแน่นอน แต่จะแย่แค่ไหนหากความหวังดีของคุณพ่อคุณแม่ในการตั้งชื่อลูกไปทำให้เป็นต้นเหตุสร้างความลำบากให้แก่ลูกเมื่อเขาโตขึ้นในอนาคต ทำให้รู้สึกเหมือนมีปม แถมยังอาจเป็นต้นเหตุที่จะทำให้ลูกถูกเพื่อนล้อ เพื่อนแกล้ง (bully) ในตอนโตอีกด้วย
การตั้งชื่อลูกจากเหตุผลความชอบของพ่อแม่ โดยลืมคำนึงถึงผลในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อจากตัวละครที่พ่อแม่ชื่นชอบ ถ้าเป็นละครไทยก็ยังพอรอดตัวไป แต่ถ้าเป็นหนัง หรือละครต่างประเทศ อาจทำให้ลูกถูกเข้าใจผิดว่าเป็นลูกครึ่ง เรียกได้ว่า พาให้เด็กถูกวิจารณ์ตั้งแต่แรกพบกันเลยทีเดียว หรือบางทีค่านิยมบางเรื่องก็ทำให้พ่อแม่พลาดพลั้งนำความรู้สึกผิดหวังของตนเองไปอยู่ในชื่อของลูก อย่างเช่นตัวอย่างในละครดังเมื่อสมัยหนึ่ง “ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน” ที่พ่อโทษลูกคนกลางว่านำความโชคร้ายมาให้จนตั้งชื่อลูกว่า “ล่องจุ๊น” ที่แปลว่าหายไป หมดไป แม้ว่าสุดท้ายละครจะเฉลยไว้ว่า พ่อก็ยังคงมีความรัก ความห่วงใยในลูกคนนี้เช่นกัน แต่แค่ชื่อก็ทำให้เกิดรอยแผลในใจลูกมาจนโต เด็กขาดความรับรู้คุณค่าในตนเอง (Self Esteem) ทำให้ขาดความมั่นใจ ขาดการพัฒนาทักษะความฉลาดด้านอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต จนเกิดเป็นปัญหาต่าง ๆ มากมาย
เรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่เล็กสำหรับชีวิตลูก
แม้ว่ายังมีใครอีกหลาย ๆ คนที่อาจมองว่าเรื่องการตั้งชื่อลูกนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย หากลูกไม่พอใจก็สามารถเปลี่ยนชื่อเองได้ตอนโต แต่หากได้ลองไปอ่านความคิดเห็นที่มีผู้คนมาแสดงความเห็นในหัวข้อเรื่องการตั้งชื่อแล้ว คุณอาจจะประหลาดใจกับประสบการณ์ของหลาย ๆ คนที่ต้องพบกับความยากลำบากในชีวิต เพียงแค่ชื่อเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศญี่ปุ่นที่ถึงขั้นต้องทำการร้องขอต่อศาล เพื่อขออนุญาตในการเปลี่ยนชื่อ มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง บุลลี่จากชื่อฟรุ้งฟริ้งที่พ่อแม่ตั้งให้ เด็กเหล่านั้นต้องเก็บความอัดอั้นตันใจไว้จนโต และต้องหาเหตุจำเป็นในการร้องขอต่อศาลเพื่อขอเปลี่ยนชื่อตัวเอง จึงนับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประเทศนี้อย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศไทยที่ยังโชคดี ที่พ่อแม่นิยมตั้งชื่อแปลก ๆ ไม่เหมือนใครเป็นชื่อเล่นให้ลูก ทำให้อยากเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็สามารถเปลี่ยนได้เร็ว ไม่ยุ่งยากกว่ามาก
หรือแม้แต่ในประเทศทางยุโรปที่ก็มีกระทู้ตั้งคำถาม “Your child will be bullied if you name them….? มีผู้มาตอบมากมาย เล่าถึงประสบการณ์ของทั้งตนเอง และคนรู้จักที่ต้องประสบกับการถูกล้อ ถูกกลั่นแกล้งจากชื่อของตัวเอง โดยให้เหตุผลว่า แม้การกลั่นแกล้งกันในหมู่เด็กจะสามารถทำได้ตลอดเวลาแม้ไม่มีมูลเหตุอันใดชัดแจ้งก็ตาม แต่การที่เรามีชื่อที่สะดุดตา หรือเด่นจนเกินไปนั้นก็เป็นสาเหตุหลักให้เด็กที่ชอบแกล้งเหล่านั้น หันมาสนใจในตัวคุณ และเป็นต้นเหตุให้เกิดการบุลลี่ในเรื่องอื่น ๆ ตามมา
ถึงแม้ว่า ชื่อ ของคนเรานั้น จะไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เด็กถูกบุลลี่จากเพื่อน ๆ แต่การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ลูกต้องตกอยู่ในภาวะอันน่าเศร้าใจจากการถูกเพื่อนกลั่นแกล้งก็เป็นสิ่งที่ดีอีกข้อหนึ่งที่จะช่วยลูกให้ห่างไกลจากเรื่องดังกล่าวได้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาที่ตรงจุดก็ตาม ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรระมัดระวังในการตั้งชื่อลูกน้อยกันเสียหน่อย ควรมีหลักการในการตั้งชื่อมากกว่าเพียงแค่เหตุผลความชอบของตัวเอง วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK จึงขอสรุปแนวทางในการเลือกชื่อลูก เพื่อให้ชื่อนั้นถูกใจทั้งพ่อแม่ และไม่ลำบากลูกในอนาคตกันดีกว่า
ตั้งชื่อลูกอย่างไร ไม่ให้ถูกบุลลี่!!
- อย่าไปยึดติดกับความแปลก ไม่เหมือนใคร
ชื่อลูกต้องเด่นไม่ซ้ำใคร การที่จะเป็นจุดเด่นไม่เหมือนใครนั้น คงต้องแลกมากับความแปลก ไม่ว่าจะเป็นความแปลกของคำ หรือความแปลกจากการสะกดที่แตกต่างออกไป เช่น รรรรรรร (อ่านว่า ระ-รัน-รอน) เป็นต้น การเป็นจุดเด่นไม่เหมือนใครนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องอย่าลืมว่าเป็นเหมือนการฉายสปอร์ตไลท์ลงมาที่ลูก โดยที่เขายังไม่พร้อมที่จะขึ้นเวที ดังนั้นการที่เขาเป็นจุดเด่นจากชื่อนั้น ทำให้ลูกต้องถูกสังเกต ถูกมอง แม้ว่าเขาอาจจะไม่ต้องการ และไม่พร้อมก็เป็นได้ นอกจากนี้การตั้งชื่อที่เขียนยาก ๆ นั้น ในวัยเด็กก็จะก่อให้เกิดปัญหาในการจดจำชื่อ และเขียน เพื่อนคงเขียนชื่อตัวเองได้ไปเป็นเดือนแล้ว ในขณะที่ลูกยังไม่สามารถทำได้ ก็ยิ่งเป็นการบั่นทอนความมั่นใจของลูกไปเสียอีกด้วย
- อย่าตั้งชื่อลูกตามเทรนด์
คำบางคำอาจดูดีในยุคนี้ แต่ในอนาคตเราไม่รู้ว่าความหมาย ความรู้สึกจะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ และที่สำคัญคงจะมีเด็กที่ชื่อซ้ำแบบเดียวกันลูกอีกจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเทรนด์ดังกำลังมา ทุกคนก็คงชื่นชอบไม่ต่างกัน
- อย่าตั้งชื่อลูกที่อ่านออกเสียงยากเกินไป
คำบางคำในภาษาอื่น ที่นิยมนำมาตั้งเป็นชื่อเด็กนั้น พ่อแม่ควรระมัดระวังในเรื่องการออกเสียงด้วย เนื่องจากว่าหากการออกเสียงยากเกินไป หรือเฉพาะเจาะจงเกินไป คนอื่นที่ไม่เข้าใจอาจเรียกเสียงผิด ทำให้ความหมายผิดเพี้ยน หรือเรียกยากเกิน จนตั้งชื่อขึ้นมาใหม่เสียเอง ซึ่งก็คงไม่ใช่คำที่ดีสำหรับลูกเราเป็นแน่
- อย่าตั้งชื่อที่สะกดยาก หรือยาวเกินไป
ในวัยเด็ก สิ่งแรกที่ลูกต้องเรียนรู้เมื่อเข้าโรงเรียนนั่นคือ การเขียนสะกดชื่อของตัวเองให้ได้พร้อมกันในห้องเรียน หากชื่อของลูกยาว หรือมีตัวสะกด พยัญชนะที่ยากเกินไป จะทำให้เป็นการสร้างความยากลำบากในการเรียนรู้ของลูก โดยเฉพาะในครั้งแรก หากเขาสามารถทำได้ดีก็จะเป็นกำลังใจให้แก่ลูกมีความเชื่อมั่นในตนเอง ทำให้เกิดทัศนคติทางบวกกับการเรียน แต่หากเขาทำไม่ได้ก็จะได้ผลลัพธ์ในทางกลับกัน
- ชื่อที่น่ารักฟรุ้งฟริ้งที่เหมาะกับวัยเด็ก อาจไม่น่ารักเมื่อลูกโต
ในตอนที่ลูกยังเป็นทารก วัยเตาะแตะ ทำอะไรก็ดูน่ารักไปเสียหมด การที่จะมีชื่อคิคุ น่ารัก ฟรุ้งฟริ้งก็คงดูไม่ขัดหูขัดตาเสียเท่าไหร่ แต่พ่อแม่ต้องคิดตระหนักถึงอนาคต ในระยะยาวลูกต้องเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาจะยังรู้สึกดีกับชื่อฟรุ้งฟริ้งเหล่านั้นเมื่อโตขึ้นอีกหรือไม่
- ระมัดระวังชื่อบางชื่อก็แสดงถึงความเป็นชายเป็นหญิงได้ในตัวชื่อนั้นเอง
พ่อแม่อาจต้องระวังในการเลือกตั้งชื่อลูกสักนิด เช่น วิริยะ-วิริยา ,จิ๋ม-จู๋ เป็นต้น หากชื่อนั้นไม่ได้ตรงกับเพศสภาพของลูก อาจทำให้เขามีปัญหาต่อไปในอนาคตได้ หรืออาจะเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดความรู้สึกของลูกไปเลยก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนโต้แย้งในประเด็นดังกล่าวว่า ต้นเหตุปัญหาของการบุลลี่นั้น อยู่ที่การปลูกฝังเด็กให้รู้จักเคารพผู้อื่นเสียมากกว่า การไปโฟกัสที่การหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสังเกต เช่น การตั้งชื่อ ซึ่งก็นับว่าเป็นประเด็นที่กล่าวได้ถูกต้องในอีกแง่มุมหนึ่งเช่นกัน สังคมควรเริ่มปลูกฝังกันเสียแต่ตอนนี้ เพื่อสังคมที่น่าอยู่ในอนาคตต่อ ๆ ไป การตั้งชื่อลูก แบบหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการบุลลี่ในเด็กนั้น เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น หากผู้คนในสังคมมีความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เช่นนี้แล้ว ปัญหาการบุลลี่ก็คงจะได้รับการแก้ไข ไม่ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องก้มหน้าแบกรับภาระบนความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวของคนเพียงไม่กีคนได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่
จะช่วยลูกจากการถูก Bully ได้อย่างไร ?
แนวทางปกป้องเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการ Bully และการรับมือกับการ Bully ที่เกิดขึ้น มีดังนี้
- พูดคุยกับลูกอย่างตรงไปตรงมา อาจให้สมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ร่วมพูดคุยและแชร์ประสบการณ์การถูก Bully ด้วยกัน หากเด็กกล้าพูดออกมา ให้กล่าวชื่นชมในความกล้าหาญและให้การสนับสนุนเพื่อฟื้นฟูจิตใจเด็ก รวมทั้งอาจปรึกษากับทางโรงเรียนถึงนโยบายการจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
- พยายามให้ลูกรู้สึกดีกับตัวเอง ความมั่นใจและการเห็นคุณค่าในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เด็กมีความกล้าและสามารถเผชิญหน้ากับการถูก Bully ได้ โดยอาจเริ่มจากการส่งเสริมให้ลูกรู้จักดูแลตัวเอง รักษาความสะอาดของร่างกาย ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
- อย่าปล่อยให้ลูกเสี่ยงตกเป็นเหยื่อของการถูกกลั่นแกล้ง หากลูกถูกเพื่อนรีดไถเงินหรือถูกบังคับเอาสิ่งของส่วนตัวไปโดยไม่เต็มใจ พ่อแม่ก็ไม่ควรให้ลูกพกเงิน เกม หนังสือการ์ตูน หรือสิ่งของที่มีค่าใด ๆ ไปโรงเรียน
- สอนให้ลูกอยู่เป็นกลุ่มกับเพื่อน เพราะการไปไหนมาไหนตามลำพังจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ตกเป็นเป้าของการถูก Bully รวมทั้งบอกให้ลูกคอยอยู่เป็นเพื่อนหากเพื่อนถูกกลั่นแกล้งเช่นกัน และต้องบอกให้ผู้ใหญ่รับรู้เสมอเมื่อถูกกลั่นแกล้งหรือเห็นการกลั่นแกล้งในโรงเรียน
- สอนให้รู้จักรับมืออย่างกล้าหาญและใจเย็น ฝึกให้ลูกไม่แสดงความหวาดกลัวหรือจำยอมต่อการถูกกลั่นแกล้ง รวมทั้งไม่แสดงอารมณ์ไปตามที่ถูกยั่วยุ เพราะจะยิ่งทำให้ผู้ที่ Bully ได้ใจ ส่งผลให้การกลั่นแกล้งดำเนินต่อไปและอาจรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยควรสอนให้ลูกกล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่ใช่เหยื่อ เพิกเฉยและไม่ต้องสนใจสิ่งที่ผู้กลั่นแกล้งกระทำหรือพูด แล้วบอกให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำด้วยท่าทีที่เรียบเฉย ก่อนจะเดินห่างออกมาจากสถานการณ์ดังกล่าว แต่ห้ามใช้กำลังหรืออารมณ์ตอบโต้ เพราะนอกจากจะเป็นอันตรายแล้ว ยิ่งทำให้เรื่องบานปลายได้
- พูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กที่เป็นผู้ Bully เพื่อให้ผู้ใหญ่รับทราบปัญหาและหาแนวทางจัดการกับเรื่องดังกล่าวอีกแรง โดยอาจนัดพูดคุยที่โรงเรียนพร้อมกับครูประจำชั้น เพื่อหาวิธีรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กันหลาย ๆ ฝ่าย
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com /wajapan.th
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
แนะเทคนิคเลี้ยงลูกให้ฉลาดรอบด้าน ด้วย Power BQ พ่อแม่สร้างได้ ตั้งแต่ลูก 6 เดือน
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่