เมื่อสงสัยว่าอาจตั้งครรภ์วิธีที่จะตรวจได้ง่ายที่สุดว่าเราท้องหรือไม่คือการใช้ ที่ตรวจครรภ์ ซึ่งมีวางขายทั่วไปตามร้านขายยา แถมยังรู้ผลไวภายในไม่กี่นาทีอีกด้วย
ที่ตรวจครรภ์ มีกี่แบบ? พร้อมวิธีใช้และวิธีอ่านผล
สำหรับคนที่สงสัยว่าตัวเองอาจจะท้องหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นเพราะประจำเดือนขาดไป หรือมีอาการที่คล้ายกับคนตั้งครรภ์ วิธีที่ง่ายและเร็วที่สุด คือการตรวจครรภ์ด้วยตนเองโดยใช้ ที่ตรวจครรภ์ด้วยตนเองแบบตรวจปัสสาวะ ซึ่งมีขายตามร้านขายยาทั่วไป แถมราคาก็ไม่แพง และยังรู้ผลได้เร็วอีกด้วย ก่อนจะไปหาซื้อ ที่ตรวจครรภ์ มาทำความรู้จักกันก่อนว่า ที่ตรวจครรภ์ มีกี่แบบ? ใช้อย่างไร? ควรใช้เมื่อไหร่? อ่านผลอย่างไร? กันก่อนค่ะ
อาการคนท้อง เป็นแบบไหน?
ก่อนจะซื้อ ที่ตรวจครรภ์ มาตรวจกัน มาดูอาการคนท้องกันก่อน ว่าเรามีอาการแบบนี้หรือไม่? ไม่ได้เป็นเพียงอาการก่อนมีประจำเดือนทั่วไป ดังนั้น หากมีอาการต่อไปนี้ แม้เพียง 1 ข้อ ก็ควรซื้อ ที่ตรวจครรภ์ มาตรวจได้เลย
- ประจำเดือนขาด คือ การที่ประจำเดือนไม่มาติดต่อกัน 3 รอบเดือน
- คลื่นไส้ อาเจียน เนื่องจากมีความรู้สึกไวต่อกลิ่นต่างๆ โดยเฉพาะกลิ่นของอาหาร
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะการตั้งครรภ์ในช่วงแรกๆ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย คล้ายกับช่วงก่อนมีประจำเดือน
- เจ็บหน้าอก ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ส่งผลให้ขนาดหน้าอกใหญ่ขึ้นคล้ายกับช่วงมีประจำเดือน
- ปัสสาวะบ่อย เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้เลือดไหลผ่านไปยังไตมากขึ้น กระเพาะปัสสาวะจึงรับน้ำมากขึ้นด้วย
- อารมณ์แปรปรวนง่าย เป็นลักษณะอาการที่พบบ่อยในคุณแม่ตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจ เสียใจ หดหู่ หรือกังวล ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- เหนื่อยง่าย เพลีย อยากนอนมากขึ้น อาการเหล่านี้มักเกิดจากระดับฮอรโมนโพรเจสเทอโรนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนนี้มีส่วนช่วยให้หลับสบายนั่นเอง
ที่ตรวจครรภ์ มีกี่แบบ?
ชุดตรวจครรภ์ คือ การทดสอบหาฮอร์โมน HCG (Human chorionic gonadotropin) ในปัสสาวะของคุณแม่ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งมาจากรกและจะเริ่มผลิตหลังจากเกิดการปฏิสนธิไปแล้วประมาณ 6 วัน และจะขึ้นสูงสุดในช่วง 8 – 12 สัปดาห์ ซึ่งจะมีความแม่นยำมากถึงร้อยละ 90 และสามารถตรวจได้อย่างแม่นยำในรายที่มีการขาดประจำเดือนตั้งแต่วันที่ 10 – 14 ขึ้นไป โดยปกติแล้วในชุดทดสอบจะมีอุปกรณ์ตรวจมาให้พร้อมอย่างเสร็จสรรพ แต่จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ
1.แบบแถบจุ่ม ( Test Strip) จะประกอบไปด้วย แผ่นทดสอบการตั้งครรภ์ (แผ่นตรวจครรภ์) และถ้วยตวงปัสสาวะ (อาจจะมีถ้วยตวงปัสสาวะมาให้หรือไม่มีก็ได้) ในส่วนของวิธีการใช้นั้น ให้เก็บน้ำปัสสาวะลงในถ้วยตวง แล้วนำแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์ด้านที่มีลูกศรชี้ลง จุ่มลงไปในน้ำปัสสาวะเพียง 3 วินาที โดยระวังอย่าให้น้ำปัสสาวะเลยขีดที่กำหนดหรือสูงเกินขีดลูกศรในแผ่นทดสอบ แล้วนำแผ่นทดสอบออกจากน้ำปัสสาวะ และถือหรือวางไว้ในแนวนอน (ควรวางบนพื้นผิวที่แห้งสนิทเท่านั้น) แล้วรออ่านผลการตั้งครรภ์ได้ภายใน 1 – 5 นาที ทางที่ดีให้รอจนกว่าจะครบ 5 นาที เพื่อให้แน่ใจว่าชุดทดสอบแสดงผลได้อย่างถูกต้อง ข้อดีของแถบตรวจแบบนี้คือมีราคาถูก แต่การใช้ต้องระวังอย่าให้น้ำปัสสาวะสูงเกินกว่าขีดที่กำหนด เพราะจะทำให้แผ่นทดสอบเสื่อมสภาพ
2. แบบตลับหรือแบบหยด (Pregnancy Test Cassette) จะประกอบไปด้วย ตลับทดสอบการตั้งครรภ์ ถ้วยตวงปัสสาวะ และหลอดหยดสำหรับดูดน้ำปัสสาวะ ในขั้นตอนการใช้ให้เก็บน้ำปัสสาวะลงในถ้วยตวง แล้วนำหลอดหยดดูดน้ำปัสสาวะเข้าไปในปริมาณพอเหมาะ แล้วจึงหยดน้ำปัสสาวะลงบนตลับทดสอบที่วางบนพื้นราบประมาณ 3 – 4 หยด (อย่าหยดมากกว่านี้) แล้ววางชุดทดสอบทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงอ่านผลการทดสอบ ข้อดีของแถบตรวจแบบนี้คือ สามารถช่วยลดโอกาสแผ่นทดสอบเสื่อมสภาพจากวิธีการดูดซับน้ำปัสสาวะของชุดทดสอบได้
3. ที่ตรวจครรภ์แบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) ที่ตรวจครรภ์จะมีแค่แท่งทดสอบการตั้งครรภ์ วิธีก็ใช้ก็คือ ให้ถอดฝาครอบออกพร้อมกับถือแท่งทดสอบโดยให้หัวลูกศรชี้ลง แล้วปัสสาวะให้น้ำปัสสาวะผ่านบริเวณที่ดูดซับน้ำปัสสาวะซึ่งจะอยู่บริเวณต่ำกว่าลูกศรให้ชุ่มประมาณ 5 วินาที แล้วให้ถือหรือวางแท่งทดสอบการตั้งครรภ์ไว้ในแนวราบ และรออ่านผลได้ตั้งแต่ประมาณ 30 วินาทีเป็นต้นไป (เพื่อความชัวร์ควรรออ่านผลภายใน 3 – 5 นาที) มีข้อดีคือสามารถใช้งานได้สะดวกมากกว่าชนิดอื่น เพราะไม่ต้องเก็บน้ำปัสสาวะในถ้วย จึงช่วยลดขั้นตอนในการทดสอบได้ แต่จะมีข้อเสียกว่าสองแบบแรกคือจะมีราคาสูงกว่า
ควรตรวจครรภ์ตอนไหน และช่วงเวลาใด?
โดยปกติแล้วควรรอให้เลยวันที่รอบเดือนควรจะมาเสียก่อนอย่างน้อยประมาณ 7 วัน เพราะบางครั้งความเครียด ความวิตกกังวลด้วยกลัวว่าจะมีลูกก็อาจทำให้ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติได้ ถ้ารอจนครบ 7 วัน เมื่อตรวจแล้วพบว่าให้ผลบวก ก็แปลว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ แต่ถ้าให้ผลลบก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไม่ตั้งครรภ์หรือไม่ หากประจำเดือนยังไม่มาอีกภายใน 7 วันหลังจากตรวจครั้งแรก ควรตรวจซ้ำอีกครั้ง ถ้ายังให้ผลลบอยู่คุณก็น่าจะไม่ตั้งครรภ์ แต่หากประจำเดือนยังไม่มาและมีความกังวล ก็สามารถไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโดยแพทย์อีกครั้งค่ะ
สำหรับช่วงเวลาที่ควรตรวจ แนะนำให้ใช้ที่ตรวจครรภ์กับปัสสาวะแรกของวัน โดยปัสสาวะช่วงต้นทิ้งไปก่อน แล้วเก็บปัสสาวะส่วนต่อมา เพราะในช่วงเช้า จะเป็นช่วงที่ฮอร์โมน HCG ขึ้นสูงที่สุดสำหรับคนท้องค่ะ
วิธีการอ่านผลที่ตรวจครรภ์
ส่วนมากแล้วในกล่องของชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่ซื้อมาจะบอกวิธีการใช้และวิธีการอ่านค่าไว้แล้วพร้อมรูปตัวอย่างด้วย แต่โดยส่วนมากการอ่านผลที่ถูกต้องจะต้องอ่านภายใน 5 นาที ถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้อาจทำให้มีอีกขีดโผล่ขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่การตั้งครรภ์หรือเป็นค่าที่เชื่อถือไม่ได้แล้ว โดยขีด C คือ Control Line ส่วนขีด T คือ Test Line
- ตรวจแล้วขึ้น 1 ขีด (ขึ้นที่ขีด C อย่างเดียว) คือ ได้ผลลบ แปลว่า “น่าจะไม่ตั้งครรภ์” (หมายความว่า ไม่ตั้งครรภ์ หรือ อาจจะตั้งครรภ์แล้วแต่ยังตรวจไม่พบ)
- ตรวจแล้วขึ้น 2 ขีด หรือ ขึ้น 2 ขีด จาง ๆ (ขึ้นที่ขีด C และ T) คือ ได้ผลบวก แปลว่า “น่าจะมีการตั้งครรภ์” (ถ้าขีด T ขึ้นจาง ๆ แนะนำว่าให้รออีก 2 – 3 วันแล้วค่อยตรวจใหม่ ถ้าใช้ชุดตรวจยี่ห้อใหม่ได้ก็จะดี)
- ตรวจแล้วไม่ขึ้นแถบสีหรือไม่ขึ้นสักขีด หรือ ขึ้น 1 ขีดบนตัว T คือ อ่านค่าไม่ได้ แปลว่า “ชุดทดสอบการตั้งครรภ์เสีย” (อาจเกิดจากการผลิต การเก็บไม่ถูกวิธี การใช้ปัสสาวะเก่า หรือชุดทดสอบหมดอายุ ถ้าตรวจแล้วไม่ขึ้นสักขีดจะเท่ากับว่าการตรวจครั้งนั้นใช้ไม่ได้ คุณจะต้องทำการตรวจใหม่อีกครั้ง)
คำแนะนำในการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง
- อ่านคำแนะนำและทำความเข้าใจในการใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์อย่างละเอียด และปฏิบัติตามคำแนะนำนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด
- การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองเป็นการตรวจหาการตั้งครรภ์เบื้องต้นเท่านั้น คุณควรตรวจยืนยันผลการตั้งครรภ์โดยแพทย์ ด้วยการวินิจฉัยทางคลินิกและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์
- การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองเพียงครั้งเดียวยังไม่เพียงพอต่อการยืนยันผลเบื้องต้นได้ เนื่องจากระดับฮอร์โมน HCG ในหญิงตั้งครรภ์จะมีระดับที่แตกต่างกันในช่วงกว้าง ซึ่งการตรวจครั้งที่ 2 ในอีก 2 – 3 วันถัดมาจะให้ผลที่น่าเชื่อถือและแน่นอนกว่า เพราะบางครั้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับความไวของชุดทดสอบการตั้งครรภ์ (ต่ำกว่า 20 mIU/ml.) จึงทำให้การตรวจในครั้งแรกยังไม่พบว่ามีการตั้งครรภ์ เป็นต้น
- การตรวจปัสสาวะ ควรใช้ปัสสาวะหลังจากตื่นนอนตอนเช้าซึ่งจะให้ผลดีที่สุด แต่เวลาอื่นก็ได้ผลเหมือนกัน แต่สำคัญว่าต้องใช้ปัสสาวะสด ๆ หรือเป็นปัสสาวะใหม่ ๆ เท่านั้น
- ชุดทดสอบเมื่อซื้อมาแล้วสามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องตามปกติได้ (ไม่เกิน 30 องศา) หลีกเลี่ยงแสงแดด และความชื้น
- เมื่อฉีกซองออกแล้ว ต้องตรวจทันทีจึงจะได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ แต่ถ้าฉีกแล้วยังไม่ตรวจก็สามารถเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เพราะหากโดนความชื้น จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงและอาจทำให้ผลตรวจเกิดความผิดพลาดได้
ในการทดสอบซ้ำ ให้เว้นระยะห่างจากการทดสอบครั้งแรกอย่างน้อย 2-3 วัน
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
อยากมีลูก ทำไงดี? 10 เคล็ด(ไม่)ลับทำให้ท้อง เพิ่มโอกาสมีลูกสมใจ
ขอบคุณข้อมูลจาก : medthai.com, www.paolohospital.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่