ไบโพลาร์ โรคอารมณ์สองขั้วหลังคลอด รับมือได้อย่างไร? - Amarin Baby & Kids
ไบโพลาร์

ทำความเข้าใจ ไบโพลาร์ โรคอารมณ์สองขั้วหลังคลอด ควรรับมืออย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
ไบโพลาร์
ไบโพลาร์

ไบโพลาร์หลังคลอดแตกต่างจากภาวะซึมเศร้าหลังคลอดและโรคจิตหลังคลอดอย่างไร?

ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดและโรคอารมณ์สองขั้วหลังคลอดคือส่วนหนึ่งของความผิดปกติทางอารมณ์ เป็นชุดของความผิดปกติที่มีลักษณะอาการทางอารมณ์และความวิตกกังวลที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่เกินหนึ่งปีหลังคลอด

ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเป็นภาวะซึมเศร้าแบบ unipolar ซึ่งหมายความว่าเป็นระดับที่ไม่รุนแรง นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยกว่าภาวะซึมเศร้าด้วยโรคไบโพลาร์หลังคลอด ส่วนภาวะโรคจิตหลังคลอดนั้นพบได้ยาก แต่หากเกิดขึ้นต้องรักษาอย่างเร่งด่วน ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นหนึ่งถึงสี่สัปดาห์หลังคลอดและรวมถึง:

  • หูแว่ว ประสาทหลอน
  • มีความเชื่อผิดๆ
  • งุนงงและสับสน
  • ความพยายามที่จะทำร้ายตัวเองหรือลูกน้อย
  • ความหวาดระแวง (กลัวคนอื่นทำร้ายคุณหรือลูกน้อยของคุณ)
  • อารมณ์แปรปรวนอย่างรวดเร็ว
  • มีพฤติกรรมประมาท

สำหรับภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ผู้จะมีอาการซึมเศร้าหลังคลอด ซึ่งอาจรวมถึงความรู้สึกสิ้นหวัง หดหู่ เหนื่อยล้าอย่างรุนแรง หรือมีปัญหาในการสร้างความผูกพันกับทารก ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดอาจเรียกว่าภาวะซึมเศร้าแบบ “unipolar” ซึ่งหมายความว่าประกอบด้วยภาวะซึมเศร้าเพียงอย่างเดียวหรืออาจเป็นภาวะซึมเศร้าแบบ “สองขั้ว” ซึ่งหมายถึงมีอาการซึมเศร้าสลับหรือผสมกับอาการคุ้มคลั้ง

ส่วนโรคไบโพลาร์หลังคลอด ผู้หญิงที่เป็นโรคไบโพลาร์หลังคลอดอาจมีอาการซึมเศร้าเป็นครั้งแรก หรืออาจมีอาการคลุ้มคลั่งหรือภาวะ Hypomania โรคไบโพลาร์หลังคลอดมีอาการเช่นเดียวกับโรคไบโพลาร์ในคนทั่วไป เนื่องจากภาวะซึมเศร้าเป็นอาการแรกที่พบได้บ่อยในสตรีที่เป็นโรคไบโพลาร์หลังคลอด จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะทราบว่าเป็น PPD แบบ unipolar หรือ bipolar การวิจัยในปี 2560 พบว่าผู้หญิงที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดตั้งแต่ 21.4% ถึง 54% มีการวินิจฉัยว่าเคยเป็นโรคอารมณ์สองขั้วก่อนหน้านี้

ไบโพลาร์หลังคลอด
ไบโพลาร์หลังคลอด

การวินิจฉัยโรค ไบโพลาร์ หลังคลอด

แม้ว่าจะไม่มีเครื่องมือตรวจคัดกรองเฉพาะสำหรับการวินิจฉัยกรณีของโรคไบโพลาร์หลังคลอด แต่แพทย์ของคุณมักจะแนะนำการตรวจร่างกายและจิตเวช ซึ่งอาจรวมถึงการนัดหมายกับจิตแพทย์เพื่อทำแผนภูมิอารมณ์ การประเมินการนอนหลับ และการตอบคำถามเพื่อกำหนดความคิดของคุณและ รูปแบบพฤติกรรม

การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์อย่างเป็นทางการสามารถทำได้หากผู้ป่วยมีอาการคุ้มดีคุ้มร้ายเป็นเวลานานกว่าสี่วันซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างและงานประจำวัน เนื่องจากโรคอารมณ์สองขั้วหลังคลอดบุตรอาจดูคล้ายภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลอย่างรุนแรง สิ่งสำคัญคือต้องประเมินประวัติการรักษาและสภาพปัจจุบันของคุณอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มองข้ามอาการ

การใช้การตรวจคัดกรองสองแบบร่วมกันในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังคลอด เป็นวิธีในการวินิจฉัยโรคที่ได้ผลและน่าเชื่อถือ

ส่วนแรกเรียกว่ามาตราส่วนภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของเอดินบะระ (EPDS) เป็นชุดคำถาม 10 ข้อที่คัดกรองภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและมีความแม่นยำสูง โดยงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าสามารถระบุกรณีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้อย่างถูกต้องถึง 86 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ EPDS ไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างภาวะไบโพลาร์และซึมเศร้าหลังคลอด  ซึ่งการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องอาจเป็นหายนะได้ อาทิ การให้ยาแก้ซึมเศร้าสำหรับภาวะซึมเศร้าแบบปกติสามารถกระตุ้นอารมณ์แปรปรวนได้อย่างรวดเร็วในสตรีที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว

การตรวจคัดกรองแบบที่สองเรียกว่าแบบสอบถามความผิดปกติทางอารมณ์ (MDQ) ได้รับการพัฒนาโดยทีมจิตแพทย์ นักวิจัย เพื่อประเมินประวัติความคุ้มดีคุ้มร้ายและภาวะ Hypomania โดยมีรายการตรวจสอบอาการ 13 อาการ พร้อมคำถามเสริมสองข้อเกี่ยวกับจังหวะเวลาและความรุนแรงการรวม EPDS กับ MDQ ช่วยเพิ่มความสามารถในการแยกแยะระหว่างภาวะซึมเศร้าหลังคลอดแบบ unipolar และ bipolar ได้เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์

EPDS กลายเป็นมาตรฐานที่เป็นธรรม แต่คุณแม่มือใหม่ไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจทั้งสองแบบ ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงจะเกิดอารมณ์สองขั้วอื่น ๆ ควรทดสอบทั้งแบบ EPDS และ MDQ

โรคไบโพลาร์หลังคลอดจะพัฒนาเป็นโรคทางจิตที่รุนแรงหรือไม่?

ในบรรดาความผิดปกติทางจิตเวชทั้งหมด โรคไบโพลาร์มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในช่วงหลังคลอด เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป ผู้หญิงที่เป็นโรคไบโพลาร์หลังคลอดมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจิตเพิ่มขึ้น 25% ถึง 50% พวกเขายังมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่ออารมณ์หลังคลอดที่รุนแรงแย่ลง เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้คลอดบุตรที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว ผู้ที่เพิ่งคลอดบุตรจะมีแนวโน้มที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชภายใน 30 วันหลังจากคลอดบุตร นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มีโรคซึมเศร้า (MDD) ผู้ที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้วมีความเสี่ยงที่อารมณ์จะแย่ลงทันทีหลังคลอดได้มากกว่า

การรักษาโรค ไบโพลาร์หลังคลอด

การรักษาโรคไบโพลาร์หลังคลอดอาจเกี่ยวข้องกับทีมแพทย์ ซึ่งรวมถึงจิตแพทย์ สูตินรีแพทย์ (OB/GYN) นักบำบัดโรค และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ

หากคุณเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์หลังคลอด คุณอาจได้รับยารักษาสมดุลทางอารมณ์และการรักษาอื่นๆ

เมื่อแพทย์ตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาโรคไบโพลาร์หลังคลอดแพทย์อาจพิจารณาวิธ๊ในการรักษาจากปัจจัยดังต่อไปนี้:

  • ความรุนแรงของอาการ
  • ความทนทานต่อยา
  • การตอบสนองของคุณต่อการรักษาที่ผ่านมา
  • ความกังวลด้านความปลอดภัย
  • การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ยาที่เป็นไปได้สำหรับใช้รักษาโรคอารมณ์สองขั้วหลังคลอด ได้แก่:

  • Lithium (ลิเทียม)
  • Quetiapine (ควิไทอะปีน)
  • Lamotrigine (ลาโมไตรจีน)

นอกจากการใช้ยาแล้ว ผู้หญิงหลังคลอดที่มีอาการซึมเศร้าขั้นรุนแรงอาจได้รับการรักษาด้วยแสง การบำบัดด้วยแสง ถือเป็นวิธีการบำบัดที่เป็นที่นิยม ซึ่งจะใช้แสงในการรักษาความผิดปกติด้วยการอาบแสงโดยใช้ “กล่องแสงจ้า (Light box Therapy)” เป็นที่เชื่อกันว่าการบำบัดด้วยแสงจ้าช่วยรักษาจังหวะการเต้นของหัวใจและส่งผลดีต่อสารสื่อประสาทที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ แต่เช่นเดียวกับการรักษาด้วยยากล่อมประสาททั้งหมด การบำบัดด้วยแสงสามารถทำให้เกิดความคุ้มคลั่งได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงหากคุณกำลังมีอาการคุ้มคลั่งด้วยภาวะ Hypomania หรือ ภาวะอารมณ์แปรปรวน

โรคไบโพลาร์หลังคลอดสามารถป้องกันได้หรือไม่?

ไม่มีทางรับประกันได้ว่าคุณจะไม่เป็นโรคไบโพลาร์หลังคลอด อย่างไรก็ตาม หากคุณมีประวัติโรคไบโพลาร์หรือมีความเสี่ยงสูง มีขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยลดโอกาสในการมีอาการคุ้มคลั่ง ภาวะ Hypomanic หรือภาวะซึมเศร้าหลังคลอด สิ่งสำคัญ คือ ต้องพูดคุยเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวหรือประวัติครอบครัวของคุณเกี่ยวกับโรคอารมณ์สองขั้ว ให้ความร่วมมือกับทีมการรักษาเพื่อพัฒนาแผนเพื่อช่วยสนับสนุนคุณในช่วงหลังคลอด เพื่อช่วยป้องกันเหตุการณ์ทางอารมณ์ สิ่งสำคัญคือ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หากคุณมีปัญหาในการนอนหลับ ให้ลองพูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับวิธีการนอนหลับให้มากขึ้น หากคุณได้รับการบำบัดอยู่แล้วในขณะตั้งครรภ์  การได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมสามารถช่วยให้คุณรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากคุณใช้ยาอยู่แล้ว ผู้ให้บริการของคุณอาจต้องการให้คุณใช้ยาตัวเดิมหากยานั้นใช้ได้ผลดีสำหรับคุณ 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.whattoexpect.comhttps://psychcentral.comhttps://www.psycom.net

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up