ภาวะตกเลือดหลังคลอด เป็นภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ที่เป็นอันตรายต่อคุณแม่โดยตรง มีรายงานว่า ภาวะตกเลือดหลังคลอดเคยเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตของคุณแม่ตั้งครรภ์ในประเทศไทยติดต่อกันมากว่า 10 ปี วันนี้เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ ที่เป็นสัญญาณเตือนให้คุณแม่เตรียมตัวรับมือกับ ภาวะตกเลือดหลังคลอด แบบสังเกตรู้ และดูแลป้องกันได้ด้วยตนเองมาฝากค่ะ
ตกเลือด คืออะไร
อาการตกเลือด คือ การมีเลือดออกทางช่องคลอดหรือช่องท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคุณแม่ตั้งครรภ์ การตกเลือดสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนคลอดและหลังคลอด โดยแบ่งเป็นระยะ ดังนี้
- ตกเลือดก่อนคลอดที่ระยะอายุครรภ์น้อย : ส่วนใหญ่จะเกิดการแท้งโดยธรรมชาติ แต่ถ้าอายุครรภ์มากขึ้น แพทย์จำเป็นต้องขูดมดลูก เพื่อช่วยหยุดเลือดไม่ให้ไหลมากจนเป็นอันตรายกับคุณแม่
- ตกเลือดก่อนคลอดที่ระยะอายุครรภ์มาก : สาเหตุที่พบส่วนใหญ่ คือ ภาวะรกเกาะต่ำ และภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งทำให้มีเลือดไหลออกมาก
- ตกเลือดระหว่างคลอด : ถือเป็นช่วงอันตรายทั้งกับคุณแม่และทารก เช่น มดลูกแตก ทำให้เลือดไหลไม่หยุด
- ตกเลือดหลังคลอด : เป็นการเสียเลือดหลังการคลอดมากกว่า 500 ซีซี สำหรับการคลอดธรรมชาติ และมากกว่า 1,000 ซีซี สำหรับการผ่าคลอด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคุณแม่ที่พบบ่อยทั่วโลกและในประเทศไทยด้วย
ภาวะตกเลือดหลังคลอด เป็นอย่างไร
คุณแม่มือใหม่หลายคนอาจจะกังวลและตกใจกับเลือดที่ไหลออกมาในระยะหลังคลอด โดยทั่วไปแล้วในช่วง 2-3 วันหลังคลอด จะมีของเหลวปนเลือดไหลออกมา หรือที่เรียกว่า “น้ำคาวปลา” ถือเป็นภาวะปกติของร่างกายในการซ่อมแซมแผลในโพรงมดลูก ซึ่งสีของเลือดจะจางลงและลดปริมาณลงจนหมดไปใน 3-4 สัปดาห์ คุณแม่จึงไม่ต้องวิตกกังวล เพียงสังเกตลักษณะ เช่น ระยะเวลาที่นานเกินไป หรือมีอาการอื่นแทรกซ้อนหรือไม่ เพราะอาการผิดปกติบางอย่างอาจนำมาซึ่งภาวะตกเลือดหลังคลอดที่เป็นอันตรายถึงชีวิต หากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
ภาวะตกเลือดหลังคลอด สัญญาณอันตรายถึงชีวิต
ภาวะตกเลือดหลังคลอด ที่ผิดปกตินั้น มีด้วยกันหลายสาเหตุ โดยแบ่งความรุนแรงออกเป็น 2 ระยะ คือ การตกเลือดทันทีภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ซึ่งมีความรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และการตกเลือดในระยะ 24 ชั่วโมง จนถึง 6 สัปดาห์หลังคลอด ลองมาดูสาเหตุและความรุนแรงว่าแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่