การเจาะน้ำคร่ำ เป็นการเจาะเพื่อตรวจความผิดปกติของโครโมโซม แต่ก็สามารถ เจาะน้ำคร่ำ ได้เมื่อมีข้อบ่งชี้ เช่น เมื่อมีน้ำเดินก่อนกำหนดแพทย์จะเจาะน้ำคร่ำ เพื่อวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ หรือตรวจว่าปอดเด็กแข็งแรงเพียงพอหรือยัง
น้ำคร่ำคืออะไร
น้ำคร่ำก็คือของเหลว ใส สีเหลืองอ่อนที่อยู่ล้อมรอบทารกในครรภ์ ส่วนประกอบของน้ำคร่ำประกอบไปด้วยน้ำ 98% และสารต่างๆอีก 2% ซึ่งจะมีเซลล์ของทารกที่หลุดออกมาปนอยู่ด้วย เมื่อตั้งครรภ์ครบกำหนด (40 สัปดาห์) จะมีปริมาณของน้ำคร่ำประมาณ 1,000 ml. ที่ล้อมรอบทารกอยู่ น้ำคร่ำจะไหลเวียนโดยการเคลื่อนไหวตัวของทารกทุกๆ 3 ชั่วโมง
ประโยชน์ของน้ำคร่ำ
- ป้องกันทารกจากการกระทบกระเทือน
- ทารกเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรง
- ควบคุมอุณหภูมิที่แวดล้อมทารกให้คงที่
- ป้องกันการสูญเสียความร้อนของทารก
- เป็นแหล่งของน้ำที่ทารกกลืนเข้าไป
ความผิดปกติของปริมาณน้ำคร่ำ
- การมีปริมาณน้ำคร่ำมากกว่าปกติจะเรียกว่า Polyhydraminos เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นบ่อยๆ สำหรับการตั้งครรภ์แฝด หรือ อาจเกิดจากความพิการแต่กำเนิดของทารกบางอย่าง เช่น Hydrocephalus
- การมีปริมาณน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติจะเรียกว่า Oligohydraminos สภาวะดังกล่าวจะเป็นสาเหตุทำให้ทารกไม่เจริญเติบโตตามปกติ
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ เจาะน้ำคร่ำ
การเจาะน้ำคร่ำเป็นการตรวจคัดกรองที่จะทำเฉพาะในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยง ต่อความผิดปกติของทารกในครรภ์ ดังต่อไปนี้
- คุณแม่ตั้งครรภ์ มีอายุครบ 35 ปี หรือมากกว่าที่วันครบกำหนดคลอด
- เคยคลอดบุตรที่มีโครโมโซมผิดปกติ
- มีประวัติการแท้งซ้ำซาก
- ตรวจพบสารชีวเคมีในเลือดผิดปกติ
- ตรวจพบความพิการของทารกในครรภ์
- ตรวจพบเป็นคู่สมรสที่เสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคเลือดจากธาลัสซีเมีย
- เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติทางโครโมโซม เช่นโรค Down syndrome, cystic fibrosis
- เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อในน้ำคร่ำ
- เพื่อประเมินความแรงของปอดของทารก
- ความผิดปกติของโครงสร้างของร่างกาย เช่น Spina bifida (การเปิดของสันหลัง กระดูกสันหลังไม่ปิด) และ Anencephaly (สภาวะที่สมองไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีสมอง)
การตรวจน้ำคร่ำในการตั้งครรภ์ระยะใกล้คลอดสามารถใช้วินิจฉัยปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ เช่น ปัญหาของกลุ่มเลือด หรือ การติดเชื้อ และยังช่วยบอกถึงความพร้อมของทารกว่าเติบโตเต็มที่ ปอดสมบูรณ์พอที่จะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่หากเกิดการคลอดก่อนกำหนด