น้ำหนักทารกในครรภ์ ที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาสุขภาพของลูกในท้องว่าดีไหม ปกติหรือไม่ มาดูวิธีคำนวณ พร้อมปัญหาน้ำหนักของลูกที่คุณแม่ควรรีบปรึกษาแพทย์ ก่อนสาย
ตรวจให้ชัด!! น้ำหนักทารกในครรภ์ แบบไหนที่ควรพบหมอ
คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ คงเข้าใจความรู้สึกถึงตอนแรกที่ได้รับรู้ว่ามีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้องเราเป็นอย่างดีกันทุกคนว่า มีความรู้สึกตื่นเต้น มหัศจรรย์ และวิเศษขนาดไหน ดังนั้นไม่ต้องบอกก็คงทราบกันดีแล้วว่า ต่อจากนี้ไปคุณแม่ที่ตั้งท้องทุกคนคงต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดีขนาดไหน เพราะนอกจากเพื่อสุขภาพของคุณแม่แล้ว เรายังมีอีกหนึ่งชีวิตหนึ่งที่ต้องดูแล รักษาด้วยเช่นกัน
คุณแม่ท้องหลายคนคงมีข้อสงสัยกันในใจว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าลูกในท้องมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ตามที่คุณแม่ดูแลตัวเองหรือไม่ เราดูแลตัวเองมากเพียงพอ และได้ส่งถึงลูกหรือไม่กันนะ ลูกตัวโตไปถึงไหนกันแล้ว และอีกนานาสารพันคำถาม ที่วันนี้ ทีมแม่ ABK มีคำตอบมาให้คลายข้อสงสัยกัน
น้ำหนักทารกในครรภ์ ดูได้จากไหน อย่างไร??
- ตรวจร่างกาย
วัดความสูงของมดลูก ใช้สายวัดวัดระดับยอดมดลูก โดยการวัดระยะจากรอยต่อของกระดูกหัวหน่าวไปจนถึงยอดมดลูก โดยแนบตามส่วนโค้งของมดลูก ซึ่งในช่วงอายุครรภ์ 18–30 สัปดาห์ จะเป็นช่วงเวลาที่สามารถสังเกตขนาดของมดลูกได้ง่าย ระยะที่วัดได้เป็นเซนติเมตร จะเท่ากับอายุครรภ์เป็นสัปดาห์ เช่น หากอายุครรถ์ 25 สัปดาห์ ควรวัดได้ 25 เซนติเมตร เป็นต้น
- อัลตราซาวด์
การอัลตราซาวด์ช่วยประเมินน้ำหนักลูกในครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถมองเห็นความสมบูรณ์ และสามารวัดขนาดตัวของลูกได้ โดยจะประเมินจาก
- ปริมาณน้ำคร่ำในท้อง
- ขนาดหน้าท้อง
- การลอยตัวของทารก
การอัลตราซาวด์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก คุณแม่ควรฝากครรภ์ และรับการอัลตราซาวด์เพื่ออยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอดการตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัย
น่าอ่าน : อัลตราซาวด์ มีประโยชน์มากกว่าที่คิด!!
- ดูจากน้ำหนักตัวของแม่
หลังจากตั้งครรภ์ได้ครบ 3 เดือน น้ำหนักคุณแม่ควรขึ้นเฉลี่ยประมาณสัปดาห์ละ 0.2-0.5 กิโลกรัม แต่ในช่วง 3 เดือนแรก น้ำหนักอาจลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้นก็ได้ เนื่องจากว่าอาจเกิดจากการแพ้ท้อง ทำให้รับประทานอาหารได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลใจกันไป
น่าอ่าน : ตารางน้ำหนักทารกในครรภ์ พร้อมวิธีการตรวจดูขนาดของลูกในท้องว่าตัวเล็กหรือใหญ่!!
น้ำหนักทารกในครรภ์ “น้อย” : ลูกตัวเล็ก น่ากังวลใจหรือไม่??
สาเหตุที่ทำให้น้ำหนักทารกในครรภ์น้อยกว่าเกณฑ์ปกติ |
ไม่น่ากังวลใจ |
น่ากังวลใจ (ควรปรึกษาแพทย์)
|
พันธุกรรม ของพ่อแม่
|
หากคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตัวเล็ก ลูกจึงมีน้ำหนักน้อย หรือตัวเล็กตาม | |
สาเหตุจากตัวเด็กเอง
|
ตั้งครรภ์แฝด ทำให้ต้องเฉลี่ยน้ำหนักกันไป |
|
สาเหตุจากรก |
|
|
สาเหตุจากพฤติกรรมของแม่ | คุณแม่ตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หรือยังเป็นช่วงวัยรุ่น | คุณแม่เลือกรับประทานอาหารมากเกิน
การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ |
สาเหตุจากสุขภาพร่างกายของแม่ | โรคประจำตัวที่ส่งผลต่อลูกในท้องได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต โรคหัวใจ เป็นต้น ทำให้คุณแม่ที่มีโรคประจำตัวดังกล่าวขณะตั้งครรภ์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด |
วิธีเพิ่มน้ำหนักทารกในครรภ์
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้มีเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงลูกในท้องมากขึ้น ควรนอนเวลากลางคืนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และงีบหลับตอนกลางวัน 1-2 ชั่วโมง
- ทำงานให้น้อยลงหรือหาเวลาผ่อนคลายจากความเครียด เนื่องจากความเครียดส่งผลถึงน้ำหนักทารกในครรภ์ ทำให้ลูกตัวเล็กได้
- งดเว้นการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- งดยาที่ไม่จำเป็น เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่ และคุณลูก
- รับประทานอาหารที่เหมาะสำหรับคนท้องให้ครบทุกมื้อ หรือหากคุณแม่มีปัญหาแพ้ท้อง หรืออยู่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้มาก อาจแบ่งรับประทานเป็นมื้อเล็ก ๆ และรับประทานให้บ่อยขึ้น เพื่อไม่ให้ปริมาณมากจนเกินไป ลดความอึดอัด แต่ยังคงสามารถทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ต้องการได้ครบถ้วน และรับประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่
- รับประทานอาหารพลังงานสูงที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะประเภทโปรตีน เช่น ปลา ไข่ ถั่วต่าง ๆ หรือธัญพืช ผักใบเขียว อะโวคาโด้ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโต แต่ทั้งนี้ควรเน้นเรื่องการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน หรือเนื้อสัตว์ติดมัน เป็นต้น
- ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับอายุครรภ์
- แม่ท้องที่มีโรคประจำตัว ควรปฎิบัติตนตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด
- ตรวจติดตามกับคุณหมอที่ฝากครรภ์อย่างต่อเนื่อง ถ้าลูกในท้องอยู่ในเกณฑ์ตัวเล็ก คุณหมอจะนัดตรวจติดตามถี่กว่าปกติ เพื่อตรวจสุขภาพของลูกน้อยอย่างละเอียด
เช็กสุขภาพลูกในครรภ์ด้วยวิธีง่าย ๆ จากน้ำหนักคุณแม่
อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า วิธีเช็กน้ำหนักทารกในครรภ์ง่าย ๆ วิธีหนึ่ง คือ การดูจากน้ำหนักตัวของคุณแม่เอง ดังนั้นตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรทำการควบคุมน้ำหนักของตนเองให้พอดี โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ควรมีน้ำหนักตามดัชนีมวลกาย ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์ (BMI) คำนวณโดยน้ำหนัก (กก.) / ความสูง (เมตร) |
น้ำหนักควรเพิ่มขึ้นทั้งหมด (กิโลกรัม) |
BMI < 18.5 (น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์) | 12.5 – 18.0 |
BMI 18.5 – 24.9 (น้ำหนักตัวปกติ) | 11.5 – 16.0 |
BMI 25.0 -29.9 (น้ำหนักตัวเกิน) | 7.0 – 11.5 |
BMI ≥ 30 (โรคอ้วน) | 5.0 – 9.0 |
ปัญหาน้ำหนักที่ควรรีบไปหาหมอ!!
ช่วง 2-4 เดือนแรก น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น
ในช่วงของการตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่เพื่อรองรับกับการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดอาการแพ้ท้องกันเสียส่วนใหญ่ จึงเป็นสาเหตุหลักทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่ในช่วงนี้ไม่เพิ่มขึ้น หรือบางรายอาจลดลงกว่าเดิมได้ โดยในช่วงแรกนี้อาจยังไม่ต้องกังวลใจมากเกินไปนัก เพราะลูกน้อยในท้องในช่วงไตรมาสแรกนี้ ยังไม่ต้องการสารอาหารมากนัก เขาสามารถดึงสารอาหารจากร่างกายของคุณแม่ที่สะสมไว้อยู่แล้ว โดยลูกต้องการสารอาหารจริง ๆ ในช่วงเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป เพราะร่างกายของลูกกำลังสร้างกล้ามเนื้อ และพัฒนาระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
แต่หากคุณแม่ยังคงรับประทานได้ปกติ ไม่มีอาการแพ้ท้อง หรือการแพ้ไม่ได้กระทบต่อการรับประทานอาหาร แต่น้ำหนักตัวในช่วงนี้กลับไม่เพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับลูกในท้อง โดยการที่น้ำหนักตัวไม่ขึ้น หรือขึ้นน้อย จะกระทบถึงทารกในครรภ์ในระดับที่แตกต่างไป ตั้งแต่ไม่ผิดปกติ ไปจนถึงระดับความผิดปกติรุนแรง เช่น ติดเชื้อตั้งแต่ในครรภ์ จะทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ น้ำคร่ำน้อย อันเป็นสาเหตุให้ทารกเสียชีวิตได้ เป็นต้น ซึ่งหากเกิดปัญหาน้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น โดยไม่มีสาเหตุควรทำการปรึกษาแพทย์จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
เมื่อคุณแม่ไปพบคุณหมอในเรื่องน้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น หรือขึ้นน้อย คุณหมอจะทำการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด อัลตราซาวด์ หรือตรวจคลื่นหัวใจทารก เป็นต้น แล้วจึงจะประเมินความเสี่ยง ปัญหา และบอกวิธีดูแลตนเองที่ถูกต้องให้กับคุณแม่
น่าอ่าน : แจกสูตร เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน กินอย่างไรให้ลงลูก!!
ช่วง 3-6 เดือน น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะกระทบต่อทั้งสุขภาพของตัวคุณแม่เอง และลูกน้อยในครรภ์ โดยอาจเกิดโรคต่อไปนี้ในระหว่างตั้งครรภ์
- โรคเบาหวาน
- ความดันโลหิตสูง
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการผ่าคลอด คลอดธรรมชาติไม่ได้
- ลูกมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดการคลอดติดไหล่
- เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด
- โรคอ้วน
ข้อมูลอ้างอิงจาก รพ.นครธน /mommyliciousjuice.com
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ เช็กน้ำหนักส่วนสูง ความสมส่วนของลูก
คัดมาให้จากตำรา 212 ชื่อมงคล ผู้หญิง เน้นชื่อเพราะ ความหมายดี
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่