ฝากครรภ์ สำคัญอย่างไร? ควรฝากเมื่อไหร่? ทำไมต้องฝากครรภ์? - Page 2 of 2 - Amarin Baby & Kids
ฝากครรภ์

ฝากครรภ์ สำคัญอย่างไร? ควรฝากเมื่อไหร่? ทำไมต้องฝากครรภ์?

Alternative Textaccount_circle
event
ฝากครรภ์
ฝากครรภ์

ยาบำรุงที่สำคัญ ที่แม่ท้องควรได้รับระหว่างตั้งครรภ์?

  1. ยาบำรุงธาตุเหล็ก

การให้ยาบำรุงธาตุเหล็ก ก็เพื่อป้องกันหรือเป็นการให้เสริมแก่มารดาที่ยังไม่มีภาวะซีด หญิงตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับยาบำรุงธาตุเหล็ก โดยเริ่มให้เมื่อเริ่มต้นไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ แล้วไตรมาสแรกให้อะไร ก็ folic ไงครับ เพราะยังอาเจียนอยู่ โดยคุณหมอได้แนะนำวิธีการทานยาบำรุงธาตุเหล็กไว้ ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาบำรุงธาตุเหล็กพร้อมกับ นม น้ำชา กาแฟ หรือยาบำรุงแคลเซี่ยม เนื่องจาก Calcium Tannin ในกาแฟ และสาร Phylate ในอาหาร จะไปยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็ก ควรกินห่างกัน 30 นาทีเป็นอย่างน้อย
  • การตั้งครรภ์ปกติต้องการธาตุเหล็ก 6 – 7 mg/day หรือ 1000 mg ตลอดการตั้งครรภ์ เนื่องจากธาตุเหล็กถูกดูดซึมจากอาหารได้เพียงร้อยละ 10 และในอาหารปกติมีธาตุเหล็กเพียง 6 mg/1000 kCal ปริมาณธาตุเหล็กที่ถูกดูดซึมออกจากอาหารและจากการสะสมในร่างกาย จึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของมารดาในขณะตั้งครรภ์ จึงควรได้รับยาบำรุงธาตุเหล็กเพิ่มเติม
  • กรณีที่มารดาไม่ได้รับการเสริมธาตุเหล็ก ระดับความเข้มข้นของฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริตจะลดลง อย่างไรก็ตามการสร้างฮีโมโกลบินของทารกในครรภ์ไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากสามารถนำธาตุเหล็กจากมารดาไปใช้ได้ ถึงแม้มารดาจะมีภาวะเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการทานยาบำรุงธาตุเหล็ก ก็คือการบำรุงร่างกายของมารดานั่นเอง
  • การให้ธาตุเหล็กเสริมระหว่างตั้งครรภ์ ควรเริ่มให้ตั้งแต่อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ โดยให้ Element iron วันละ 30 mg และเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 60 – 85 mg ตั้งแต่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป
  • การให้ธาตุเหล็กเสริมไม่ได้เป็นการป้องกันหรือทำให้ภาวะฮีโมโกลบินที่ต่ำลงตามกลไกปกติจากการตั้งครรภ์ดีขึ้น แต่ป้องกันการขาดการสะสมธาตุเหล็กซึ่งเป็นระยะแรกของการเกิดภาวะเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก

สำหรับอาการข้างเคียงที่พบบ่อยสำหรับการทานยาบำรุงธาตุเหล็กของแม่ท้องคือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อุจจาระมีสีน้ำตาลหรือดำ แต่ถ้าให้ในปริมาณมากอาจมีอาการแสบหน้าอก หรือ Heart burn ท้องผูกหรือท้องเสีย แต่การรับประทานธาตุเหล็กหลังอาหารทันทีจะช่วยลดอาการลงได้ หรือให้รับประทานก่อนนอน ควรเริ่มยาในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มถ้ายังมีอาการมากควรปรึกษาหมอ หรือรับประทานยาก่อนนอน (อ่านต่อ อาหารและยา ที่ไม่ควรกินร่วมกัน 10 อย่าง)

2. แคลเซียม

การได้รับแคลเซียมเสริมมีแนวโน้มจะสามารถรลดภาวะผิดปกติในช่วงตั้งครรภ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลดการเกิดความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ได้ อะ…งงใช่ไหมครับ เหมือนเราจะทราบกันมาว่า แคลเซี่ยมก็คือกระดูก ขนาดในละคร แม่ต้องไปถอนฟันเพราะกลัวจะแย่งแคลเซียมลูก เดี๋ยวลูกจะโตไม่ดี กระดูกไม่แข็งแรง แต่นั่นคือละครครับ ชีวิตจริงอาจจะไม่ใช่แบบนั้น จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์มากมาย ซึ่งทำให้องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ให้แนวทางการให้สารอาหาร วิตามินเสริมสำหรับสตรีตั้งครรภ์ หนึ่งในนั้นคือแคลเซียมครับ โดยพบว่า การได้รับแคลเซียมที่เพียงพอ ลดอัตราการเกิดการเสียชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ ภาวะทารกผิดปกติ การเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด ซึ่งนำไปสู่การลดอัตราการเสียชีวิตแรกคลอดของทารกครับ เริ่มน่าสนใจแล้วใช่ไหม

แคลเซียมสัมพันธ์กับความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์อย่างไร?

ปริมาณแคลเซียมที่ต้องการในแต่ละวันของแม่ท้องและหญิงให้นมบุตรอยู่ที่ 1200 mg/วัน แต่มีการศึกษาที่ประเทศกัวเตมาลาในปี 1980 พบว่าคนที่นั่นรับประทานข้าวโพด ซึ่งเราทราบกันว่ามีแคลเซียมสูง ก็พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ประเทศนี้พบภาวะครรภ์เป็นพิษต่ำ เช่นเดียวกับ ที่เอธิโอเปีย ก็รับประทานอาหารคล้าย ๆ กัน ก็พบว่าหญิงตั้งครรภ์มีภาวะครรภ์เป็นพิษต่ำ ก็เลยมีการศึกษามากมายถึงความสัมพันธ์ของแคลเซียมกับการเกิดความดันโลหิตสูงและภาวะครรภ์เป็นพิษ จากการศึกษาพบว่า การที่มีแคลเซียมต่ำ จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้

WHO หรือองค์การอนามัยโลกจึงแนะนำว่า ในชุมชนที่มีแนวโน้มจะได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ หรือในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดครรภ์เป็นพิษ แนะนำให้ได้รับแคลเซียมเสริม ดังนี้

  • Dose: 1500-2000 mg, element calcium/day
  • Frequency: daily, โดยแบ่งเป็น 3 doses (แนะนำให้รับประทานพร้อมอาหาร)
  • Duration: เริ่มตอนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์และให้ไปจนคลอด
  • Target: หญิงตั้งครรภ์ทุกราย
  • Setting: พื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ

นอกจากแคลเซียมจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดครรภ์เป็นพิษแล้ว แคลเซียมยังช่วยลดภาวะตะคริวในหญิงตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

ทำไมต้องฝากครรภ์
ทำไมต้องฝากครรภ์

เราจำเป็นต้องได้รับแคลเซี่ยมเสริมไหม ที่กินอยู่เพียงพอหรือไม่ ?

หากคิดว่าจะได้รับแคลเซียมจากสารอาหารไม่เพียงพอ หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดครรภ์เป็นพิษ ก็ควรได้รับ แต่ถึงแม้จะไม่มีความเสี่ยง การได้รับเสริมก็ยังเป็นประโยชน์ทั้งในแง่ลดโอกาสเกิดครรภ์เป็นพิษ และยังลดตะคริวได้อีก แถมผลข้างเคียงก็น้อย

ถ้าต้องรับประทานเสริม จะต้องปริมาณเท่าไหร่ดี?

ตามคำแนะนำก็ต้อง 1,200-1,500 mg/วัน

ต้องกินนานเท่าไหร่ แล้วกินคู่กันวิตามินหรือยาอื่นๆ ได้ไหม?

เริ่มกินตั้งแต่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ยาวไปจนคลอดได้เลย

แล้วถ้าไม่ได้รับแคลเซียมเสริม หรือแคลเซียมไม่เพียงพอจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง?

ในประเทศไทย โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ๆ โอกาสที่จะขาดแคลเซียมจนเกิดโรคมีน้อยมาก แต่ถ้าถามว่าถ้าขาดจริงๆ ทำให้เกิดอะไร ก็อาจจะเกิดภาวะมวลกระดูกต่ำ, อาการสั่น, ตะคริว, ถ้าขาดมากก็ชักได้ ส่วนในลูกก็อาจจะทำให้เกิด ภาวะโตช้าในครรภ์ รวมถึงการสร้างกระดูกที่ผิดปกติได้

เห็นความสำคัญของการ ฝากครรภ์ แล้วใช่ไหมล่ะคะ จะเห็นได้ยาบำรุงบางตัว ควรทานตั้งแต่โดยเร็วที่สุดเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ซึ่งจริง ๆ แล้วสามารถทานได้ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ด้วยซ้ำ ดังนั้นการ ฝากครรภ์ ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ได้ค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เรื่องน่ารู้ โฟลิค กรดโฟลิก เริ่มกินตอนไหนถึงจะดี

15 อาหารที่มีโฟเลตสูง ที่แม่ท้องและลูกในท้องควรทาน

แจงละเอียด! ขั้นตอนการฝากครรภ์ เตรียมตัวอย่างไร? ทำอะไรบ้าง?

ฝากครรภ์ฟรี! คลอดบุตรฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณหมอเต้ พ.ต.ต. ภาคภูมิ เตชะขะวนิชกุล นายแพทย์ (สบ 2 )หน่วยมะเร็งนรีเวช กลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลตำรวจ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up