เรียลพาเรนต์สเดอะซีรีส์ 10 - เรื่องจริงของลูกสาว ที่มีเซนส์พิเศษ - Amarin Baby & Kids

เรียลพาเรนต์สเดอะซีรีส์ 10 – เรื่องจริงของลูกสาว ที่มีเซนส์พิเศษ

Alternative Textaccount_circle
event

เรียลพาเรนต์สเดอะซีรีส์10 / เรื่องจริงของแม่ที่หมออยากแบ่งปัน

เรื่องจริงของลูกสาว ที่มีเซนส์พิเศษ

“อุสาเถียงหมอว่า ‘หนูไม่ได้หูแว่ว ตาแว่ว หนูเห็นจริงๆ ดูสิเด็กๆตัวแดงๆคลานไปคลานมาอยู่ที่พื้นก็เยอะ’ หมอถอนหายใจก่อนบอกว่า‘หูไม่แว่วตาไม่แว่ว ก็เป็นแม่หูทิพย์ตาทิพย์ก็แล้วกัน’”

ฉันชื่อละม่อม(ชื่อสมมุติ) อายุ 61 ปี มีลูกสามคน สองคนแรกทำงานรับราชการแต่งงานมีลูกแยกครอบครัวไปทำงานที่จังหวัดอื่นแล้วแต่ก็ยังส่งเงินมาให้พ่อแม่ทุกเดือน ที่บ้านเหลือฉันสามีและอุสาลูกคนเล็กซึ่งอายุห่างจากพี่เกือบ20ปี ฉันมีอุสาตอนอายุ 42ปี ตอนนี้อุสาอายุได้ 19 ปี

อาจจะเพราะฉันมีอุสาตอนอายุมาก อุสาจึงไม่แข็งแรง ตอนคลอดออกมาลูกตัวเหลืองตาเหลืองต้องเปลี่ยนถ่ายเลือด นอนโรงพยาบาลเป็นเดือน หลังจากนั้นลูกก็เป็นลมชักต้องกินยากันชักตลอด พอเข้าชั้นมัธยมลูกเรียนไม่เก่ง เรียนซ้ำชั้น พูดน้อยลง จนกลายเป็นไม่พูด จากไม่พูด กลายเป็นพูดมาก แต่เป็นพูดกับตนเองยิ้มกับตนเอง ต่อมาลูกมีอาการหูแว่ว ตาแว่ว ได้ยินเสียงคนมาพูดด้วยทั้งที่ไม่มีใครพูดอะไร เห็นภาพอะไรแปลกประหลาดส่วนใหญ่เป็นผีสาง บางวันลูกทะเลาะกับคนในโทรทัศน์ อาการลูกเริ่มมากขึ้นจนคิดว่าในสมองตนเองมีไมโครชิพเพราะถูกมนุษย์ต่างดาวลักตัวไป เมื่อฉันพาลูกไปโรงพยาบาล จิตแพทย์บอกว่าลูกเป็นโรคจิตเภทและให้ยามารับประทาน

หลังจากได้รับยารักษาโรคจิต อาการทางจิตของลูกดีขึ้น สามารถไปโรงเรียนได้ แต่บ่นว่าง่วง กินยาทีไรใจไม่ดี คงเป็นความผิดของฉันที่คิดว่าลูกดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นอะไรมาก แม้ไปรับไปส่งที่โรงเรียน แต่ก็ไม่ได้ดูแลใกล้ชิดเท่าที่ควร มารู้อีกทีลูกก็ตั้งท้องได้5 เดือนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายชายที่ทำให้อุสาท้องก็ยอมรับ เขาเป็นลูกของคนในหมู่บ้านเดียวกัน พ่อแม่ของเขาได้มาสู่ขอทำพิธีแต่งงานให้เรียบร้อย แต่อย่างไรฉันก็ยังกังวลใจกลัวว่าโรคจิตเภทและยารักษาโรคจะมีผลกระทบถึงทารกในครรภ์ แต่เมื่อพาไปฝากครรภ์หมอบอกว่า ทั้งโรคและยามีความเสี่ยงน้อยมากที่จะทำให้เด็กผิดปกติ ฉันก็วางใจ ฉันให้ลูกออกจากโรงเรียน พักผ่อนอยู่ที่บ้านเตรียมคลอด ที่ฉันไม่รู้คือ ตอนท้องลูกไม่ได้กินยารักษาโรคอะไรเลย นอกจากลูกไม่อยากกินแล้ว สามีของลูกก็บอกว่ากินแล้วอุสาหงุดหงิดอารมณ์ร้าย กินแล้วแย่กว่าไม่กิน เขาเลยไม่ไปรับยามาให้

เมื่อตั้งท้องครบ 9 เดือน อุสาก็เจ็บครรภ์คลอด ฉันรีบพาลูกไปโรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้าน แต่เครื่องไม้เครื่องมือที่โรงพยาบาลก็มีไม่ครบ ไม่สามารถผ่าตัดคลอดได้ จึงส่งอุสาไปคลอดที่โรงพยาบาลจังหวัดระหว่างนั่งรถโรงพยาบาลที่ส่งตัวจากโรงพยาบาลชุมชนไปโรงพยาบาลจังหวัด อุสาก็มองเห็นภาพนั่นโน่นนี่ ซึ่งฉันก็ชินแล้ว สงสารก็แต่พยาบาลโรงพยาบาลชุมชนซึ่งนั่งรถมาส่งคนไข้ด้วย เธอคงไม่ชิน เห็นทำหน้าตาเหลอหลาตลอดเวลาที่อุสาบอกว่าเห็นนั่นนี่โน่น

ไปถึงห้องคลอดโรงพยาบาลจังหวัด ทันทีที่นอนบนเตียงห้องรอคลอด อุสาก็สะกิดพยาบาลห้องคลอด เธอชี้ไปบนราวผ้าม่านซึ่งกั้นระหว่างเตียง บอกว่า“พี่ดูสิ เด็กๆคลานเล่นบนราวเสียงเจี๊ยวจ๊าวเลย ที่ห้อยหัวก็มี แลบลิ้นปลิ้นตาใส่หนูก็มี” พยาบาลซึ่งไม่รู้ว่าอุสาเป็นอะไรทำท่าตกใจเธอถามย้ำว่าหนูพูดอะไรนะ แต่แล้วหมอก็เดินเข้ามา หมออ่านประวัติของอุสาในใบส่งตัวแล้วถามว่า “ขาดยากันชักและยารักษาโรคจิตเภทมานานเท่าไหร่” เมื่อฉันตอบหมอ หมอบอกว่า “เดี๋ยวต้องกินยากันชัก โชคดีนะนี่ที่ไม่ชัก และต้องกินยาจิตเวช มิฉะนั้นก็จะหูแว่ว ตาแว่ว อยู่อย่างนี้” อุสาเถียงหมอว่า “หนูไม่ได้หูแว่ว ตาแว่ว หนูเห็นจริงๆ ดูสิเด็กๆตัวแดงๆคลานไปคลานมาอยู่ที่พื้นก็เยอะ” หมอถอนหายใจก่อนบอกว่า“หูไม่แว่วตาไม่แว่ว ก็เป็นแม่หูทิพย์ตาทิพย์ก็แล้วกัน”

ตอนแรกหมอที่ดูแลอุสาจะให้คลอดเองตามธรรมชาติ เพราะประเมินว่าเด็กในครรภ์ตัวไม่ใหญ่ แต่อุสานอนตะแคงคุยกับใครที่ข้างเตียง(ซึ่งไม่มีใคร)อย่างออกรส เมื่อหมอเข้ามาถามว่า “อุสาหนูคุยกับใคร” อุสาบอกว่า“คุยกับพี่พยาบาล พี่ใจดีจังเลย ยิ้มเก่ง พูดเก่ง ฟันงี้ขาวตัดกับสีผิว” พยาบาลที่เดินตามหมอถามว่า “พยาบาลผมยาวหรือผมสั้น” อุสาตอบว่า“ตัดหน้าม้า ผมบ็อบ” แค่นั้นก็ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งห้องคลอดระส่ำระสาย จับกลุ่มไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ เนื่องด้วยพยาบาลห้องคลอดคนหนึ่งเพิ่งฆ่าตัวตายไปไม่นานนี้เอง ลักษณะของพยาบาลคนนี้เหมือนที่อุสาพูดเป๊ะ หมอเลยตกลงผ่าคลอดให้ ทั้งฉันก็อยากให้หมอผ่าคลอดและทำหมันให้อุสาไปเลยเพราะมีทั้งโรคลมชักและจิตเภท ผลการผ่าตัด อุสาและลูกของอุสาแข็งแรงดี

 

บันทึกจากหมอสูติ

ฉันชื่อภัทราวรรณ (ชื่อสมมุติ) เป็นหมอสูติมากว่า 10 ปี ฉันไม่เคยเจอคนไข้หูแว่วตาแว่วเหมือนอุสาเลย ฉันเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีสางหรือไสยศาสตร์ จึงไม่กลัวเรื่องที่อุสาพูด ฉันคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็มีเรื่องบังเอิญอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันยังอธิบายไม่ได้คือเมื่อฉันไปเยี่ยมอุสาหลังคลอดที่ห้องพิเศษ เธอบอกเสียงใสว่าลูกไม่กวนเลย เพราะตกดึกจะมีทหารหนุ่มมาช่วยเลี้ยง แต่แรกฉันก็ฟังไปงั้นๆ แต่พยาบาลที่เดินตามฉันหน้าซีดเผือด เมื่อฉันถามว่าเป็นอะไร พยาบาลบอกฉันว่า หมอรู้ไหมว่า เมื่อไม่นานมานี้เองคนไข้ที่เสียชีวิตในห้องพิเศษห้องนี้ยังหนุ่มแน่นและเป็นทหาร…

 

บทความโดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
ภาพ shutterstock

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up