คนท้องท้องผูก ทำไงดี? “ปัญหาท้องผูก” ขณะตั้งครรภ์” สาเหตุเกิดจากอะไร กินยาระบายได้ไหม วิธีการแก้อาการท้องผูกในหญิงตั้งครรภ์ ต้องทำอย่างไร เพื่อให้ปลอดภัยทั้งแม่และลูก ทีมแม่ ABK มีคำตอบจากคุณหมอนิวัฒน์ มาฝากค่ะ
Q1. คนท้องท้องผูก ท้องผูกขณะตั้งครรภ์มีสาเหตุมาจากอะไร?
ท้องผูก คือ อาการที่ขับถ่ายอุจจาระ น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์และมีอุจจาระที่มีลักษณะแข็ง (เป็นก้อนกลมๆเล็กๆ คล้ายลูกกระสุนดิน) หรือถ่ายยาก (ต้องเบ่งถ่าย) อาจมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย ในหญิงตั้งครรภ์ในประเทศไทยพบอาการท้องผูกได้ถึงร้อยละ 40 ในช่วงตั้งครรภ์ และ สูงถึงร้อยละ 50 ในช่วงหลังคลอด
สาเหตุทั่วไปของอาการท้องผูกในขณะตั้งครรภ์ ได้แก่
- การรับประทานอาหารประเภทกากเส้นใย หรือไฟเบอร์ไม่เพียงพอ
- การดื่มน้ำในปริมาณที่ไม่เพียงพอ หญิงตั้งครรภ์หลายคนไม่ค่อยดื่มน้ำ หรือดื่มน้ำน้อยกว่าปกติเพราะกลัวว่าจะปัสสาวะบ่อย
- การใช้ยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่ใช้ในขณะตั้งครรภ์ เช่น ยาบำรุงเลือดซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ และยาแคลเซี่ยม ยาแก้ปวด รวมถึงยาที่ใช้รักษาภาวะกรดไหลย้อน (Heartburn) กลุ่มแอนตาซิด (Antacid) ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้มากขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน เช่น การเดินทาง หรือความรีบเร่งต่างๆ ทำให้ไม่มีเวลาในการเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา จะเข้าห้องน้ำในลักษณะปวดแล้วค่อยเข้า และกลั้นเมื่อไม่อยากเข้า เช่น เมื่อเห็นห้องน้ำไม่สะอาด การกลั้นทำให้อุจจาระค้างอยู่ในทางเดินอาหารนานกว่าปกติ ซึ่งจะถูกถูกดูดน้ำออกจากตัวอุจจาระกลับเข้าสู่ร่างกาย อุจจาระจึงมีลักษณะแห้งและแข็งขึ้นเรื่อยๆ
- ระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง (Reduce gastric motility) อาหารอยู่ในทางเดินอาหารเป็นเวลานานกว่าคนปกติ
- การที่มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้นในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ หรือบางรายอาจมีเนื้องอกมดลูกขณะตั้งครรภ์ เป็นสาเหตุที่ทำให้ลำไส้อาจถูกกดเบียดจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก
Q2. ภาวะท้องผูกส่งผลเสียกับตัวแม่ท้อง และทารกในครรภ์อย่างไรบ้าง?
อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่ค่อยเป็นอันตราย แม้ว่ามันจะทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกไม่สุขสบาย แต่ก็ไม่ทำให้เกิดอันตรายแต่ทารกในครรภ์ ยกเว้นในรายที่มีอาการท้องผูกอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นริดสีดวงทวารหนัก (hemorrhoids: เส้นเลือดดำทวารหนัก เกิดอาการบวมพองหรือยืดตัว มีอาการยื่นนูนเป็นติ่งออกมาจากทวารหนัก) ทำให้มีการขับถ่ายออกมาเป็นเลือดได้ ซึ่งถ้าเลือดออกมาก คนไข้เสียเลือดมากจะเกิดภาวะซีด อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้ นอกจากนี้ อาการท้องผูกถ้าเกิดร่วมกับอาการอื่น เช่น มีอาการปวดท้องร่วมด้วยอย่างรุนแรง การ มีเลือด หรือมูกเลือดออกมากับอุจจาระด้วย หรืออาการท้องเสียสลับกับท้องผูก อาจเป็นสัญญาณของปัญหาอื่น เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดังนั้นถ้ามีอาการท้องผูกนานมากกว่า 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการปวดท้อง หรือคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีเลือดออกขณะถ่าย หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังการรักษาด้วยยาแล้ว ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ เพราะบางรายก้อนอุจจาระแข็งอัดแน่นจนเกิดภาวะอุดกั้นของลำไส้ (fecal impaction)ไม่สามารถถ่ายออกมาได้เอง แพทย์หรือพยาบาลอาจต้องช่วยในการล้วงเอาก้อนอุจจาระออกให้กับคนไข้ (Digital removal of faeces)
- ปัญหาแม่ท้อง รวม 20 ที่ต้องเจอทุกวัน ใครไม่ท้องไม่รู้หรอก!
- 10 ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ที่แม่ท้องต้องรู้!!
- แม่ท้องกับปัญหาการนอน 3 ไตรมาส
Q3. ท้องผูกถ่ายไม่ออกทำให้ต้องเบ่งเวลานั่งถ่าย จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่?
ไม่เป็นอันตรายต่อทารก สามารถเบ่งได้ แต่ต้องระมัดระวังในคุณแม่ท้องบางราย ที่มีความผิดปกติของปากมดลูก เช่น รายที่มีปากมดลูกสั้น หรือปากมดลูกปิดไม่สนิท โดยเฉพาะอายุครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 2-3 หรือท้องเริ่มใหญ่แล้ว อาจมีภาวะมดลูกบีบตัว ทำให้ศีรษะทารกลงไปในอุ้งเชิงกราน เมื่อศีรษะทารกอยู่ในระดับต่ำ อาจทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ รู้สึกปวดหน่วงที่ก้น เหมือนอาการปวดถ่าย เมื่อเข้าไปเบ่งถ่าย อาจทำให้เกิดภาวะทารกหลุดออกมาได้ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย และมักต้องมีการบีบตัวของมดลูก หรืออาการท้องแข็งเป็นปั้น ในจังหวะที่สม่ำเสมอร่วมด้วย แต่สิ่งที่มักจะตามมาจากการที่คุณแม่ตั้งครรภ์นั่งในห้องส้วมเป็นเวลานาน คือ อาการของโรคริดสีดวงทวาร
Q4. คนท้องที่มีอาการท้องผูก กินยาระบายได้หรือไม่?
คนท้องสามารถใช้ยาระบายได้ โดยยาที่ใช้แนะนำในกลุ่มดังต่อไปนี้
- กลุ่มยาระบายออกฤทธิ์เพิ่มปริมาณอุจจาระ (Bulk-forming agents) เป็นยาระบายที่ไม่ดูดซึมเข้าร่างกาย แต่ทำงานโดยการดูดซับน้ำเข้ามาเพิ่มในลำไส้ได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้อุจจาระมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นก้อน และ นุ่มขึ้น และกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่เกิดการบีบตัว และถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ยาระบายประเภทนี้อาจทำให้มีอาการปวดท้องได้ ดังนั้นควรเริ่มด้วยขนาดยาที่ต่ำที่สุดและดื่มน้ำมาก ๆ ยาระบายในกลุ่มนี้ เช่น Metamucil, Mucillin และ Agiolax เหมาะสำหรับใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกไม่รุนแรง
- ยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม (Stool softeners) เป็นยาที่จะช่วยในการเติมน้ำลงในอุจจาระ เพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่มและถ่ายได้สะดวก อาจใช้เวลาหนึ่งถึงสามวันกว่าที่อุจจาระจะอ่อนตัวลง ดังนั้นยากลุ่มนี้ มักจะไม่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น ด็อกคูเสทโซเดียม (Docusate Sodiam) และด็อกคูเสทแคลเซียม (Docusate Calcium) หรือชื่อทางการค้า เช่น Colace, Dialose, Surfak
- ยาที่ช่วยหล่อลื่นอุจจาระ (Lubricant laxatives) เป็นยาที่กระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนไหว โดยการเพิ่มสารเคลือบลื่นไปที่อุจจาระหรือด้านในของลำไส้ เพื่อช่วยขับอุจจาระได้สะดวกขึ้น ยากลุ่มนี้ ได้แก่ mineral oil และ glycerin suppository (การเหน็บกลีเซอรีน) ยากลุ่มนี้ ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน เพราะตัวยาจะไปรบกวนการดูดซึมวิตามิน A, D, E, K ของร่างกาย
- ยาที่ดูดน้ำกลับเข้ามาในลำไส้ (Osmotic laxatives) ยาในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการดึงน้ำเข้าไปในลำไส้มากขึ้น ช่วยให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ช่วยให้ลำไส้หดตัวมากขึ้นเพื่อเคลื่อนอุจจาระไปพร้อมกัน ยาระบายประเภทนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องและท้องอืดได้ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น lactulose, milk of magnesia (MOM), Polyethylene glycol (PGE)
- ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulant laxative) ยากลุ่มนี้กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้โดยตรง โดยออกฤทธิ์ กระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อที่ผนังลำไส้ ยาในกลุ่มนี้ ควรพิจารณาใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เนื่องจากเมื่อใช้ไปนานๆอาจทำให้เกิดความเคยชินของลำไส้ เมื่อไม่ใช้ยา อาจทำอาการท้องผูกเป็นมากขึ้นได้ และยาอาจกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกได้ (ทำให้เกิดภาวะมดลูกบีบตัวก่อนกำหนดคลอด) ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ senokot และ dulcolax (bisacodyl)
จากยาในกลุ่มดังกล่าว ยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม (Stool softeners: กลุ่มที่ 2) เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ต้องอาศัยเวลาในการออกฤทธิ์ กลุ่มยาที่ดูดน้ำกลับเข้ามาในลำไส้ (Osmotic laxatives: กลุ่มที่ 4)และ กลุ่มยาระบายออกฤทธิ์เพิ่มปริมาณอุจจาระ (Bulk-forming agents: กลุ่มที่ 1) จึงนิยมใช้กว้างขวางกว่า และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ในกลุ่ม ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulant laxative: กลุ่มที่ 5) เนื่องจากมีผลข้างเคียงสูง
- “ตั้งครรภ์ ท้องผูก” ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ทรมานแม่ท้องตลอด 9 เดือน
- อาการคนท้อง1เดือน เป็นยังไง? พร้อม 5 เคล็ดลับดูแลแม่ท้องอ่อน
- รวมสาเหตุและ ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก แม่ท้องจะป้องกันได้อย่างไร?
Q5. วิธีแก้อาการท้องผูกขณะตั้งครรภ์ แบบปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
คุณสามารถช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้โดย :
- ดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อย 8 – 12 แก้วต่อวัน น้ำผักหรือน้ำผลไม้และน้ำซุปโซเดียมต่ำช่วยให้อุจจาระนิ่มและถ่ายได้ง่ายขึ้น น้ำลูกพรุน เป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
- กินอาหารไฟเบอร์อย่างน้อย 25-30 กรัมต่อวัน เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชไม่ขัดสี ขนมปังโฮลเกรน หลีกเลี่ยงธัญพืชขัดสี เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว ธัญพืชขัดสี และพาสต้าที่มีเส้นใยอาหารต่ำและอาจทำให้ท้องผูกได้ ปรับพฤติกรรมการทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ หลายๆ จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน ว่ายน้ำ และช่วยกระตุ้นการขับถ่าย อย่างน้อย 20 ถึง 30 นาที สามครั้งต่อสัปดาห์
- อย่ากลั้นอุจจาระ เข้าห้องน้ำเมื่อรู้สึกอยากถ่าย หรือฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา
- เพิ่มอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ (Probiotics) โพรไบโอติกส์ คือ จุลินทรีย์มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ Acidophilus หรือ โปรไบโอติกที่พบใน นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต จะ ช่วยกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น
การรักษาอาการท้องผูกในหญิงตั้งครรภ์ ควรมุ่งเน้นที่การปรับพฤติกรรมเรื่องการทานน้ำและอาหารเป็นหลัก โดยพยายามใช้ยาต่างๆให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพราะยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงเมื่อใช้ในปริมาณที่มากเกินไป หรือนานเกินไปได้ และควรเน้นที่การป้องกันไม่ให้มีอาการท้องผูกเกิดขึ้น โดยการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ดีกว่าการปล่อยให้มีอาการหรือเกิดโรคแล้วค่อยให้การรักษา
“It is better to prevent constipation early on rather than wait to treat it later”
บทความโดย : นายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์)
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ พันธุศาสตร์การแพทย์
มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอบกิ้น สหรัฐอเมริกา
สำหรับเรื่อง ปัญหา คนท้องท้องผูก ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ หนึ่งใน 10 ของ Power BQ (Power Baby & Kids Quotients) อาวุธที่ช่วยให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกันนั่นเอง ทั้งนี้ HQ หรือ Health Quotient คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ
ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ
คนท้องกินยาพาราได้ไหม คนท้องกินยาอะไรได้บ้าง ยาที่คนท้องห้ามกิน มีอะไรบ้างเช็กเลย!
หมอตอบชัดทุกข้อ! 10 ปัญหาสุขภาพที่แม่ต้องเจอ? ทั้ง ปัญหาคนท้อง และหลังคลอดลูก