ข้อดีของอาการสมาธิสั้นก็มีนะคะ เพียงคุณพ่อคุณแม่จัดรูปแบบการเรียนการสอนให้เหมาะสม เด็กกลุ่มนี้อาจเข้าใกล้คำว่า “อัจฉริยะ” ได้เหมือนกัน
ดร. เดล อาร์เชอร์ (Dale Archer) เป็นทั้งนักจิตวิทยา นักคิด นักเขียน ศิลปินให้ความบันเทิง และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ตัวเขาเองมีอาการสมาธิสั้นตั้งแต่เด็ก เขาเขียนหนังสือ “ข้อดีของอาการสมาธิสั้น: สิ่งที่คุณคิดว่าผิดปกติอาจกลายเป็นข้อได้เปรียบ” (The ADHD Advantage: What You Thought Was a Diagnosis May Be Your Greatest Strength)
มุมมองที่ต่างออกไปของดร. อาร์เชอร์คือเขาเห็นอาการสมาธิสั้นเป็นเหมือน “พลังวิเศษ” (Superpower) หลังจากศึกษาค้นว้าและสัมภาษณ์ผู้ที่มีอาการสมาธิสั้น แต่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจากหลากหลายอาชีพ เขาพบว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้ “หาย” จากอาหารสมาธิสั้น แต่กลับนำ “ข้อได้เปรียบ” จากอาการที่เป็นมาใช้อย่างชาญฉลาด
ข้อได้เปรียบของคนกลุ่มนี้คือมีพลังงานอันเหลือเฟือ มีทักษะด้านกีฬาสูง มีความเป็นอัจฉริยะด้านความคิดสร้างสรรค์ (Creative Genius) สามารถทำงานหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน (Multi-Tasking) สามารถรับรู้ข้อมูลได้ครั้งละมากๆ มีความละเอียดในการทำงานสูง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี และมีความสามารถในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ
เด็กกลุ่มนี้จะโดดเด่นเมื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เนื่องจากสามารถเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่สนใจจริงๆ วิชาเรียนที่ไม่ติดกันเกินไป มีเวลาพักระหว่างวิชา และสามารถค้นคว้าได้ด้วยตัวเอง ลูกชายของ ดร. อาร์เชอร์เองก็มีอาการสมาธิสั้น เขาสามารถทำการบ้าน 5 วิชาไปพร้อมๆ กับคุยโทรศัพท์และดูทีวี โดยได้คะแนนเต็มหมดทุกวิชา
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนกลุ่มนี้คือการหางานที่เหมาะกับตัวเอง อาจเป็นเจ้าของธุรกิจที่สามารถบริหารเวลาเอง งานที่ได้ออกนอกสถานที่ หรือเป็นงานที่ใช้ทักษะหลายๆ ด้านพร้อมๆ กัน
รู้ข้อดีของอาการสมาธิสั้นแล้ว คุณพ่อคุณแม่เลิกกังวลได้เลยค่ะ เพียงหาโรงเรียนที่จัดรูปแบบการเรียนการสอนที่ช่วยส่งเสริมเด็กกลุ่มนี้ เช่นโรงเรียนที่สอนแบบบูรณาการ หรือหลักสูตรแบบมอนเตสเซอรี่ (Montessori) เมื่อเด็กๆ ได้พัฒนาอย่างเหมาะสม ความเป็น “อัจฉริยะ” อาจอยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ได้ค่ะ
ที่มาจาก http://www.wnyc.org/
ภาพ: shutterstock