บ้านไม้หลังสวยที่ซ่อนตัวอยู่ในสวนเขียวครึ้มแห่งนี้เป็นทั้งบ้านและโรงเรียนสอนศิลปะของศิลปินอารมณ์ดี คุณชลิต นาคพะวัน อดีตคนในวงการบันเทิงที่ผันอาชีพมาเป็นคุณครูสอนศิลปะเต็มตัว ทั้งใจดียอมเปิดบ้านให้เป็นห้องเรียนศิลปะที่แตกต่างจากที่อื่นอีกด้วย
เพราะ “ความผูกพันในวัยเด็ก”
จากคนที่ไม่เคยคิดจะเป็นครูแต่กลับจับพลัดจับผลูมาทำโรงเรียนสอนศิลปะ “ผมว่าครูเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ผมชอบเด็ก ชอบคุย ชอบเล่นกับเด็ก มีความสุขที่จะเจอเด็ก ตอนเรียนก็ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง ความผูกพันในวัยเด็ก เพราะมีความสุขทุกครั้งที่ย้อนกลับไปเห็นภาพตัวเองในวัยเด็ก พอทำเรื่องนี้ก็ต้องศึกษา เข้าใจจิตวิทยาเด็ก หาข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะเด็ก ตรงนี้เองทำให้เราได้คลุกคลีกับเด็กๆ มากขึ้น พอดีกับเพื่อนพาลูกมาฝากที่บ้านให้ช่วยดู ช่วยสอนศิลปะ ก็สอนลูกเพื่อนบ้างเด็กข้างบ้านบ้าง จนเพื่อนชวนไปสอนศิลปะที่สมาคมฝรั่งเศส สอนได้ประมาณหนึ่งปี งานศิลปะที่ทำไว้เริ่มเยอะขึ้น ในที่สุดมาเจอบ้านหลังนี้ ก็เลยลาออกจากสมาคมฝรั่งเศส มาสอนศิลปะและทำงานศิลปะของตัวเอง”
เรียนแบบชลิต
ที่นี่เปิดให้เด็กๆ เข้ามาเรียนวันพุธ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ คุณครูใจดีบอกว่าใครว่างตอนไหนหรืออยากมาอยู่ทั้งวันก็อยู่ได้ไม่ต้องห่วง พอจบ 1 วันก็มีงานศิลปะกลับไปซึ่งอาจจะมากกว่า 1 ชิ้นด้วยซ้ำ “เด็กส่วนใหญ่เรียนกับเรามาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ในหนึ่งคอร์สเราสอนศิลปะทุกประเภททั้งวาด ระบายสี ภาพพิมพ์ ปั้น ศิลปะประดิษฐ์สื่อผสมเรียนเหมือนผู้ใหญ่แต่ลดรายละเอียดลงมา เด็กๆ ก็สนุก เรียนไปเล่นไป เหนื่อยก็พัก พ่อแม่ก็มานั่งคุยกัน เหมือนมาเที่ยวบ้านญาติมากกว่า บรรยากาศก็สบายๆ เป็นกันเอง ไม่อยากให้เขาเหมือนมาเรียนแต่อยากให้เหมือนมาพักผ่อน ดังนั้นเราก็ทำการสอนให้สนุก พอมีความสุขเด็กๆ ก็อยากทำ แล้วเราก็จะสอดแทรกวิธีปรับพฤติกรรมของเด็กๆ เข้าไปด้วย เช่น คนใจร้อนจะสอนเขาอย่างไรดี คนใจเย็นจะทำให้เขากระตือรือร้นได้อย่างไร ครูก็จะดูเด็กเป็นรายบุคคลไป คนไหนบกพร่องเรื่องไหน ก็เสริมก็หาทางแก้ไขกันไป ทำให้สิ่งที่บกพร่องดีขึ้น ส่วนที่เด่นก็ส่งเสริมต่อยอดกันไป เด็กที่มาที่นี่จึงไม่อยากกลับบ้าน และที่เราให้เขาออกไปวิ่งเล่นได้ก็เพราะผมเชื่อว่าการเล่นคือการเรียนรู้ แต่ถ้าเมื่อไหร่บอกให้หยุดก็ต้องหยุดนะ คือมีอิสระแต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตด้วย”
ปลูกฝังเรื่องธรรมชาติ
บทเรียนของเด็กๆ จะแตกต่างกันไป แต่ละครั้งแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเรียนเหมือนกันหรือวาดรูปเดียวกันหมด แต่สิ่งที่พยายามปลูกฝังให้แก่เด็กๆ ก็คือเรื่องธรรมชาติรอบตัวและต้นไม้ “ผมพยายามให้เด็กๆ วาดรูปต้นไม้ ให้เขาสังเกตว่าต้นไม้แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร ไม่ต้องวาดเยอะหรอก วาดแค่ต้นเดียวนี่ละแต่ต้องศึกษารายละเอียดทุกอย่างนะ ทั้งเรื่องใบ ลำต้น รูปทรง จุดประสงค์ก็เพราะอยากให้เขารักธรรมชาติ รักตันไม้ เห็นไหมใบและดอกอยู่บนต้นน่ะสวยแค่ไหน อย่าไปเด็ด อย่าทำลาย อีกอย่างก็คือช่วยทำให้เด็กๆ รู้จักสังเกตมากขึ้นด้วย ถือเป็นการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพอีกทางหนึ่งเหมือนกัน”
คุณชลิตทิ้งท้ายไว้อย่างน่าฟังว่า “งานนี้เป็นงานอดิเรกของผมแต่ผมก็จริงจังพอๆ กับงานประจำ เพราะผมมีความสุข จากคนที่ไม่เคยคิดจะเป็นครูจนถึงวันนี้สิ่งที่ผมได้คือเทคนิคการสอนที่ใครๆ ก็ทำได้ ถ้าคุณจะสอนเด็กคุณต้องรักเขาก่อน พอรักแล้วก็จะเกิดความเอาใจใส่ เพราะถ้าเราไม่ใส่ใจลงไป มันก็จะน่าเบื่อ เหมือนการปลูกต้นไม้ ถ้าเราอยากให้ต้นไม้แข็งแรงเราก็ต้องดูแลเขาอย่างดี การสอนเด็กก็เหมือนการปลูกต้นไม้แหละ พอเราทำได้สำเร็จ ทำให้เขาไปสู่เป้าหมายได้ ออกผลให้เราเห็น ฝีมือเขาพัฒนาขึ้นหรือมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี นี่ละคือผลตอบแทนที่น่าชื่นใจของอาชีพครู”
Information
Chalit Art Project and Gallery 126/ 1 ซอยราชถี 2 ถนนราชวิถี แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
โทร. 081 439 0113, Facebook: Chalit-Art-Project-and-gallery
บทความโดย: กองบรรณาธิการ