จดหมายจากเมียธรรมดาคนหนึ่ง.. อย่าให้หัวใจยอมแพ้ต่อบุหรี่!

“ในฐานะเมีย และคนเป็นแม่ ฉันไม่เชื่อหรอกว่า สามีจะทำสิ่งดีๆ เพื่อลูกและครอบครัวไม่ได้” ถึงสามีที่รัก… จำได้ไหม คุณบอกว่าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายครอบครัวของเรา แต่คุณเองใช่ไหมที่เปิดประตูเรียกมัจจุราชให้เข้ามา รู้ไหม ทุกครั้งที่คุณหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด แล้วปล่อยใจไปกับควันสีเทาๆ ยังมีสายตาของเมียอย่างฉันเฝ้าเป็นห่วง และรอคอยอย่างมีความหวัง ฉันหวังว่าคุณจะหยุดสูบบุหรี่… เพราะมันทำให้คุณต้องเสียเงินเก็บถึงเดือนละพันบาท เพื่อทำให้อายุตัวเองสั้นลง ฉันหวังว่าคุณจะหยุดสูบบุหรี่… เพราะมันทำให้ลูกตกเป็นเหยื่อ บุหรี่มือสอง ในการสูดดมควันไปกับพ่อของเขา ฉันหวังว่าคุณจะหยุดสูบบุหรี่… เพราะถึงแม้คุณจะล้างมือ สักแค่ไหน แต่ควันที่ติดตามผิวหนัง เส้นผม ทำร้ายระบบทางเดินหายใจของลูกและคนในครอบครัว ฉันหวังว่าคุณจะหยุดสูบบุหรี่… เพราะมันทำให้ลูกในท้องอีกคนของเราเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย พัฒนาการทางสมองช้า และอาจมีความผิดปกติทางระบบประสาท ฉันหวังว่าคุณจะหยุดสูบบุหรี่… เพราะฉันอยากดูแลคุณไปจนแก่เฒ่า มองดูลูกแต่งงาน และได้เลี้ยงหลานตัวเล็กๆ อย่างที่เราเคยบอกกันไว้ ฉันหวังว่าคุณจะหยุดสูบบุหรี่… เพราะฉันไม่อยากเห็นผู้ชายที่ฉันรักและฝากชีวิต ต้องมาเจ็บป่วย และทรมานด้วยสิ่งที่เขาเสียเงินซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ฉันหวังว่าคุณจะหยุดสูบบุหรี่… เพราะจะมีความหมายอะไร ถ้าวันที่ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต แต่กลับมีแค่ฉันคนเดียวที่ยืนชื่นชม ฉันเข้าใจ และรู้ว่ามันยากลำบาก หากคุณจะต้องหยุดสูบบุหรี่ แต่ฉันและลูกยังไม่หมดศรัทธาในตัวคุณ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เราแม่ลูกยังหวังว่า ฮีโร่ของพวกเราจะเอาชนะปีศาจควันสีเทาๆ ลงได้ และลุกขึ้นปกป้องตัวเอง คนในครอบครัว […]

แล้วฉันก็ได้รู้ ว่าตัวเองเป็น “แม่ที่รังแกลูก” แบบทางอ้อมมาโดยตลอด

บทเรียนของแม่ที่ป้อนข้าวลูก!! ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันแรกของการไปเรียนอนุบาล วันที่หนูต้องแยกจากอกแม่ ไปสู่บ้านหลังที่สอง เจอสังคมใหม่ เจอครู และเพื่อนๆ แม่รู้ว่ามันยากแค่ไหน กับการต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า จากเด็กน้อยในอ้อมอก ที่มีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ทำอะไรให้หมดทุกอย่าง หนูต้องปรับตัว ปรับใจอย่างมาก.. วันแรกในรั้วโรงเรียน คุณครูรับตัวหนูเข้าไปในห้อง และขอความร่วมมือให้พ่อแม่ ออกมารอด้านนอก เพียงแค่ยื่นมือหนูให้คุณครู เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นไม่หยุด ใจแม่จะขาดให้ได้ สายตาหนูที่มองแม่ เหมือนจะต่อว่า ว่าทิ้งหนูไว้กับคนแปลกหน้าทำไม??? หนูร้องไห้ดังมากเท่าไหร่ ใจแม่ร้องไห้มากเท่านั้น หนูร้องไห้เสียงดัง และเบา สลับกันไป พ่อกับแม่นั่งรอด้วยใจจดจ่อ……………………… พอถึงเวลาพักกลางวัน หนูรีบก้มหน้าก้มตาตักข้าวใส่ปาก โดยไม่มองหน้าใคร มือขวาจับช้อนแบบเก้ๆ กังๆ ความหิวคงทำให้หนูรู้จักแก้ปัญหา หนูวางช้อน และใช้มือหยิบอาหารเข้าปากทันที ยิ่งเห็นภาพนั้นยิ่งน้ำตาไหล… ฉันนี่แหล่ะ “พ่อแม่รังแกฉันของจริง” ฉันป้อนข้าวให้ลูกทุกมื้อ เพราะลูกกินช้า ฉันป้อนข้าวให้ลูกเพราะลูกชอบทำเลอะ ฉันป้อนข้าวให้ลูกเพราะอยากให้ลูกกินได้เยอะ…. ลูกกินข้าวไม่เก่ง ช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น ไม่ใช่ลูกหรอกที่แพ้!! มันคือความพ่ายแพ้ของคนเป็นพ่อแม่ อย่างไม่น่าให้อภัย คนชนะที่แท้ กลับเป็นลูก!!! เด็กตัวเล็กๆ […]

keyboard_arrow_up