วิธีเลือกซื้อ "คาร์ซีท" ให้เหมาะกับช่วงอายุของลูก - Amarin Baby & Kids
คาร์ซีท

วิธีเลือกซื้อ “คาร์ซีท” ให้เหมาะกับช่วงอายุของลูก

Alternative Textaccount_circle
event
คาร์ซีท
คาร์ซีท

พ่อแม่ต้องรู้!! วิธีเลือกซื้อ คาร์ซีท เลือกซื้ออย่างไร ให้เหมาะกับช่วงอายุของลูก เพื่อให้ลูกน้อยปลอดภัยที่สุดตลอดการเดินทาง!!

วิธีเลือกซื้อ “คาร์ซีท” ให้เหมาะกับช่วงอายุของลูก

คาร์ซีท ที่มีให้เลือกหลากหลายแบบที่มีขายตามท้องตลาดนั้น ถูกออกแบบมาเพื่อเด็กแต่ละช่วงวัยที่แตกต่างกัน เพราะเด็กในวัยแรกเกิด – 6 ขวบ มีพัฒนาการทางด้านสรีระและร่างกายที่แตกต่างกันมาก อย่างเช่นเด็กวัยแรกเกิด กล้ามเนื้อคอยังไม่แข็งแรง การจะให้ลูกใช้คาร์ซีทที่หันหน้าออกไปด้านหน้ารถยนต์นั้น ก็อาจทำให้ลูกบาดเจ็บบริเวณคอได้หากคุณพ่อคุณแม่เบรครถกระทันหัน ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงขอรวบรวมมาให้ดูกันว่า คาร์ซีท มีกี่แบบ? และแต่ละแบบเหมาะกับช่วงวัยไหนบ้าง? พร้อมวิธีการเลือกซื้อเลือกใช้ คาร์ซีท เลือกคาร์ซีทอย่างไร ให้ปลอดภัยกับลูกน้อย?

เลือกคาร์ซีทอย่างไร ให้ปลอดภัยกับลูกน้อย?

  1. ตรวจสอบบริเวณที่ต้องการติดตั้งคาร์ซีท

การติดตั้งคาร์ซีทที่ถูกต้องคือต้องติดตั้งบริเวณเบาะผู้โดยสารตอนหลังเท่านั้น สาเหตุที่ไม่ให้ติดตั้งคาร์ซีทบริเวณข้างที่นั่งคนขับ เพราะบริเวณนั้นจะมี Airbag ติดตั้งอยู่เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ในกรณีที่อุบัติเหตุรุนแรง แต่เมื่อนำคาร์ซีทไปติดตั้งบริเวณนั้น หรือแม้แต่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ไปนั่งบริเวณนั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง อาจทำให้เกิดการกระแทกอย่างรุนแรงต่อตัวเด็กและคาร์ซีทได้

สถาบัน NHTSA (Nation Highway Traffic Safety Administration) บอกว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ควรนั่งเบาะด้านหลังรถ ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต ได้ 27 %

และสำหรับเบาะผู้โดยสารตอนหลังของรถบางรุ่น จะมี ISOfix อยู่ในรถเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตั้งคาร์ซีท ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรตรวจสอบดูก่อนว่ารถที่ตนใช้อยู่นั้นมี ISOfix หรือไม่? (ISOfix เป็นวงแหวนโลหะขนาดเล็กที่ด้านหลังส่วนล่างของเบาะที่นั่งรถยนต์เพื่อเชื่อมต่อที่คาร์ซีทกับเบาะรถยนต์ การติดตั้งด้วย ISOfix เป็นการติดตั้งที่ง่าย สะดวก รวดเร็วที่สุด) หากมีก็ควรหาคาร์ซีทที่รองรับการติดตั้งแบบ ISOfix เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการใช้งาน

2. เช็คมาตรฐานและคุณภาพของคาร์ซีทให้ดีก่อนซื้อ

เนื่องจากคาร์ซีทมีให้เลือกหลายยี่ห้อและหลายรุ่น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องตรวจสอบว่ายี่ห้อที่จะซื้อมาใช้นั้นมีรีวิวและความนิยมเป็นอย่างไร เมื่อได้ยี่ห้อที่ต้องการจะซื้อในใจแล้ว จากนั้นให้เลือกรุ่นที่ต้องการจะซื้อ ให้ดูว่ารุ่นนั้นมีป้ายรับรองมาตรฐานอะไรบ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าคาร์ซีทรุ่นนั้น ผ่านการทดสอบมาแล้ว ซึ่งปกติแล้ว คาร์ซีทจะต้องมีป้ายรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 และ UNr 129 เป็น มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท เพื่อบ่งชี้ว่าเบาะตัวนั้นๆได้ผ่านตามข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย

ความแตกต่างของมาตรฐานการทดสอบทั้งสองแบบก็คือ ECE R44 จะเป็นมาตรฐานที่ทดสอบการกระแทกด้านหน้าและด้านหลังของตัวคาร์ซีท ในขณะที่ UNr 129 จะเป็นการทดสอบการกระแทกจากด้านข้าง

Car Seat
Car Seat

3. ระบบเข็มขัดรัด 5 จุด (5-points harness)

แน่นอนว่าการใช้สายรัดแบบห้าจุดจะรัดกุมมากกว่า และสามารถปกป้องลูกน้อยของคุณดีกว่าสายรัดสามจุด หรือเข็มขัดนิรภัยธรรมดา ระบบเข็มขัดรัด 5 จุดที่ว่าก็คือจะมีรัดไหล่ 2 เส้นของแต่ละข้าง รัดเอว 2 เส้น และผ่านระหว่างขาอีก 1 เส้น ทั้งหมดจะมาเจอกันที่จัดรัดที่อยู่ตรงกลางบอดี้ของเด็ก

4. ความใหม่-เก่าของคาร์ซีท

แน่นอนว่าคาร์ซีทมือสองอาจจะมีราคาถูกกว่ามือหนึ่ง แต่คุณภาพและประสิทธิภาพของคาร์ซีทมือสองก็มักจะไม่เต็ม 100 เท่าคาร์ซีทมือหนึ่ง เนื่องจากความเสื่อมคุณภาพของวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในคาร์ซีท ที่มักจะเสื่อมลงตามกาลเวลา ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการประหยัดเงินในกระเป๋า การเลือกซื้อคาร์ซีทมือสอง ก็ควรเลือกที่ไม่เก่าจนเกินไป แต่หากต้องการความมั่นใจสูงสุดและความสบายใจของคุณพ่อคุณแม่ การเลือกซื้อคาร์ซีทมือหนึ่ง ก็จะทำให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจได้มากกว่าค่ะ

นอกจากนี้ ไม่ควรซื้อคาร์ซีทที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไปนับจากวันที่ผลิต ควรตรวจสอบวันเดือนปีที่ผลิตให้ละเอียด เพราะโดยปรกติแล้วคาร์ซีทจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 6 ปี นับจากวันที่ผลิต

5. เลือก คาร์ซีท ให้เหมาะกับสรีระของลูก

ส่วนสูงและน้ำหนักก็มีผลต่อการเลือกใช้คาร์ซีท เวลาเลือกควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคาร์ซีทที่เราเลือกจะช่วยให้ลูกมีความปลอดภัยและความสะดวกสบายมากที่สุดตลอดระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนาน (ซึ่งเราจะกล่าวถึงประเภทของคาร์ซีทที่เหมาะกับช่วงวัย ส่วนสูงและน้ำหนักในหัวข้อถัดไปค่ะ) เมื่อเลือกคาร์ซีทอาจจะต้องเลือกเผื่อลูกโตไป 2-3 สเต็ป (แต่ก็ไม่ต้องเผื่อมากจนความรัดกุมหละหลวมนะคะ)

6. วัสดุสามารถทำความสะอาดง่าย

ต้องอย่าลืมว่า คาร์ซีทจะต้องอยู่คู่รถคุณพ่อคุณแม่ไปอย่างน้อย 6 ปี ลูกอาจจะนั่งกินนม กินขนม กินอาหารในคาร์ซีท ดังนั้นควรคำนึงถึงตอนที่ทำความสะอาดคาร์ซีทด้วยนะคะ ควรเลือกคาร์ซีทที่สามารถถอดออกมาซักหรือทำความสะอาดได้ง่าย คาร์ซีทที่ทำจากวัสดุหรือเส้นใยผ้าที่กันน้ำจะสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายกว่า วัสดุที่ซึมซับน้ำ

และปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อคาร์ซีท นั่นก็คือการเลือกซื้อคาร์ซีทให้เหมาะกับช่วงอายุของลูก มาดูกันค่ะว่าคาร์ซีทมีกี่แบบ และแต่ละแบบเหมาะกับลูกในช่วงวัยใดบ้าง

คาร์ซีทมีกี่แบบ? วิธีเลือกซื้อ “คาร์ซีท” ให้เหมาะกับช่วงอายุของลูก

คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี
คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด

สำหรับคาร์ซีทประเภทนี้ไม่ว่าจะออกแบบมาให้เป็นแบบตะกร้าหิ้ว (จะมีฐานติดตั้งบนเบาะรถยนต์ ลูกจะนั่งในคาร์ซีทที่มีลักษณะเหมือนตะกร้าหิ้ว เมื่อถึงที่หมาย สามารถปลดล๊อคตะกร้าออกจากฐานและนำมาติดบนรถเข็นที่รองรับได้) หรือจะเป็นแบบ Convertible Car Seat (คาร์ซีทที่สามารถหันไปทางด้านหลังหรือด้านหน้าก็ได้) หลัก ๆ คือจะต้องเป็นคาร์ซีทที่หันหลัง Rear Facing เท่านั้น ลูกจะหันหน้าเข้าหาเบาะนั่ง และท่านั่งจะเป็นลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน ดังนั้น เด็กจะไม่สามารถเห็นวิวบริเวณหน้ารถได้เลย แต่ที่ต้องออกแบบให้มีลักษณะนี้ เป็นเพราะกล้ามเนื้อคอของเด็กวัยแรกเกิด – 1 ปี จะยังไม่แข็งแรง ดังนั้นหากเกิดการเบรคกระทันหัน เด็กที่นั่งหันหลังจะไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณคอ และสาเหตุที่คาร์ซีทประเภทนี้จะเป็นแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน นั่นเป็นเพราะกระดูกของเด็กวัยนี้ ยังไม่รองรับการนั่งหลังตรงเป็นเวลานาน ๆ หากต้องนั่งหลังตรงเป็นเวลานาน อาจทำให้ลูกเมื่อยและงอแงได้นั่นเอง

สำหรับคาร์ซีทประเภทนี้ ที่เหมาะสำหรับเด็กวัยแรกเกิด – 1 ปี จึงออกแบบมาให้เหมาะสำหรับเด็กน้ำหนักตั้งแต่ 1.8 กิโลกรัม – 18 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับสเปคของแต่ละรุ่น

คาร์ซีทแต่ละช่วงอายุ
คาร์ซีทแต่ละช่วงอายุ

คาร์ซีทสำหรับเด็กเล็ก (Toddler)

เหมาะสำหรับเด็กวัยหัดเดิน วัย 1-5 ปี ที่มีส่วนสูงและน้ำหนักที่เข้าเกณฑ์ข้อกำหนดสำหรับการนั่งแบบหันหน้าออกเท่านั้น (Forward facing) เพราะตามข้อบังคับมาตรฐานความปลอดภัย UNr 129 เด็กเล็กที่แม้จะอายุครบ 2 ขวบแล้วควรนั่งในคาร์ซีทในแบบที่หันหน้าไปทางด้านหลัง (Rear-facing car seat) ต่ออย่างน้อย 15 เดือน (หรือจริงๆ ควรนานกว่านั้น) คาร์ซีทประเภทนี้ส่วนมากจะสามารถปรับให้นอนหรือปรับให้เป็นที่นั่งตรงก็ได้ และบางรุ่นก็สามารถปรับให้หันหน้าหรือหันหลังก็ได้ (เพื่อให้ใช้งานได้นานขึ้น) แต่หลัก ๆ ของคาร์ซีทประเภทนี้คือจะเหมาะสำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 8-40 กิโลกรัม

บูสเตอร์ซีท
บูสเตอร์ซีท

บูสเตอร์ซีท (Booster Seat)

คาร์ซีทแบบบูสเตอร์ซีทจะเป็นคาร์ซีทสำหรับเด็กโตขึ้นมาหน่อย มีทั้งรูปแบบที่เป็นเบาะทั้งอันมีทั้งที่รองและพนักพิงหลัง เป็นแค่เบาะรองนั่งอย่างเดียว จะใช้งานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดของเบาะหลัง แน่นอนว่าจะเป็นคาร์ซีทที่ลูกน้อยได้ใช้นานที่สุดด้วยคือ อาจใช้ได้ตั้งแต่ 4-12 ขวบเลยทีเดียว หรือตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือ ควรนั่งจนถึงลูกส่วนสูงถึง 140 ซม. จึงเปลี่ยนมานั่งเบาะธรรมดาและคาด Seat Belt แบบผู้ใหญ่

All-in-One Car Seats

คาร์ซีทแบบที่รวมทุกประเภท ซึ่งมีข้อดีสามารถใช้ได้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 12 ปี บางรุ่นมีน้ำหนักถึง 12 กิโลกรัม คาร์ซีทประเภทนี้จึงเหมาะกับการที่ไม่ต้องการเปลี่ยนคาร์ซีทบ่อย ๆ และไม่มีความจำเป็นต้องถอดย้ายคาร์ซีทจากรถบ่อย ๆ

ทราบกันไปแล้วว่าควรเลือก คาร์ซีท อย่างไรให้เหมาะและปลอดภัยกับลูกน้อย ทีมกองบรรณาธิการ ABK หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เลือกคาร์ซีทได้ง่ายขึ้นนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไร? ให้ลูกแฮปปี้..ดี๊ดีตลอดทริป

รีวิวคาร์ซีท 10 แบรนด์ยอดนิยม แข็งแรง ปลอดภัยทุกการเดินทาง

หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

พาลูกนอกบ้าน เลือก รถเข็นเด็ก คาร์ซีทแบบไหน มั่นใจปลอดภัยชัวร์

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thansettakij.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up