อาการลองโควิด กระทบ 6 อวัยวะภายใน ดูแลยังไง
อาการลองโควิด เป็นผลข้างเคียงที่ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดมักจะประสบปัญหา หลังจากที่หายจากการติดเชื้อมาแล้ว ข้อมูลจาก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ผู้ที่หายจากการโควิด แล้วมักจะเจออาการลองโควิด ซึ่งสร้างความกังวลต่อผู้ที่มีอาการค่อนข้างมาก เนื่องจากระบบอวัยวะที่โดนโจมตี เป็นส่วนสำคัญของระบบร่างกายอย่างมาก แต่หากได้รับการดูแล และมีการฟื้นฟูอวัยวะส่วนไม่ว่าจะเป็น ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางจิตใจ ระบบสุขภาพจิต ระบบประสาท ระบบทั่วไป ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบผิวหนัง อย่างถูกวิธี ก็จะช่วยให้ร่างกายสามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ
อาการลองโควิด กระทบ 6 อวัยวะภายใน
ลองโควิดส่งผกระทบต่อ 6 ระบบร่างกาย ได้แก่
1.ระบบทางเดินหายใจ 44.38% เช่น เหนื่อยง่าย หายใจไม่เต็มปอด ไอเรื้อรัง
2.ระบบสุขภาพ 32.1% เช่น นอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า
3.ระบบประสาท 27.33% เช่น อ่อนแรงเฉพาะที่แบบเฉียบพลัน ปวดศีรษะ หลงลืม
4.ระบบทั่วไป 23.41% เช่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ
5.ระบบหัวใจและหลอดเลือด 22.86% เช่น เจ็บหน้าอก ใจสั่น
6.ระบบผิวหนัง 22.8% เช่น ผมร่วง ผื่นแพ้
อาการลองโควิดดูแลยังไง
สำหรับแนวทางการดูแลอาการลองโควิด กับระบบอวัยวะทั้ง 6 อย่าง ทำได้ดังนี้
1. ระบบทางเดินหายใจ
พบภาวะ ไอเรื้อรัง เนื่องจากการติดเชื้อโควิด ส่วนใหญ่มักจะมีอาการไอทั้งไอแห้ง ไอมีเสมหะ บางรายไอแบบมีเลือดปนมา อาการดังกล่าวเกิดจากการที่เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเนื้อเยื้อทางเดินหายใจ จึงทำให้ระบบทางเดินหายใจไวต่อสิ่งเร้าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอาการไอ แต่โดยปกติแล้วอาการดังกล่าวจะสามารถหายไปเองได้ ขึ้นอยู่กับเวลาและความเสียหายของเนื้อเยื้อทางเดินหายใจ
วิธีดูแล “อาการไอเรื้อรัง” ทำได้ดังนี้
-ทานยาแก้ไอ เพื่อลดอาการระคายเคืองในลำคอ
-ดื่มน้ำในปริมาณมาก เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองคอ
-ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาว เพิ่มความชุ่มชื้นในลำคอ และลดเสมหะ
-ใช้สเปรย์พ่น เพื่อลดการอักเสบและลดการระคายเคืองในลำคอ
-นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่
-ไม่อยู่ในสถานที่ ที่มีอากาศแห้งมากเกินไป เพราะอาจเกิดการระคายเคืองในลำคอได้
-หลีกเลียงบริเวณที่มีฝุ่นหรือควันเยอะ เพราะอาจทำให้อาการไอกำเริบ
2.ระบบทางเดินหายใจ
เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากการต่อสู้ของระบบภูมิคุ้มกัน อาการเบื้องต้นมักจะเจอภาวะ ใจสั่น เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย มีอาการเจ็บบริเวณหน้าอกแบบแปลก ๆ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งควรพบแพทย์ทันที เนื่องจากภาวะลองโควิดที่กระทบระบบหัวใจไม่สามารถรักษาเองได้ ต้องให้แพทย์วินิจฉัย
3.ระบบทั่วไป
เนื่องจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะเข้าไปทำลายระบบทางเดินหายใจและปอด ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับอ๊อกซิเจน เข้าไปได้เต็มที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ วิธีการดูแลอย่างด่วนที่สุด ดังนี้
-ฝึกหายใจ เพื่อฟื้นฟูปอดให้ร่างกายได้รับอ็อกซิเจนเข้าไปเต็มปอด
-ออกกำลังกายในระดับที่เหมาะสมกับร่างกาย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉง ไม่ง่วงซึม อ่อนล้า อ่อนเพลีย
-พักผ่อนระหว่างวันไม่โหมทำกิจกรรมหนัก เช่น ไม่หักโหมเดินทางไกล ไม่ตากแดดนานเกินไป
-ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ เน้นโปรตีน โพรไบโอติก อาหารที่มีกากใย เลี่ยงอาหาร Junk Food
4.ระบบประสาท
สาเหตุที่ทำให้โควิด มีผลกับระบบประสาทโดยตรง มาจากภูมิคุ้มกันในตัวผู้ป่วยทำงานต่อสู้กับไวรัส จนเกิดการอักเสบกับระบบประสาทและสมอง การตรวจเช็คเบื้องต้น ว่าอาการปวดหัว อ่อนเพลีย ว่าเป็นผลกระทบเรื้อรังจากการติดเชื้อหรือไม่ ทำได้ดังนี้
-ปวดศีรษะ
-มึนงงสับสน
-มีอาการสมาธิสั้น
-มีอาการซึม
-มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชาตามร่างกาย หรือชาแขนขา
-หน้าเบี้ยว พูดไม่ได้หรือพูดไม่ชัด สมองไม่โปร่ง
5.อาการที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง
อาการทางผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากติดโควิด เกิดจากภูมิต้านทานสร้างเม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับไวรัสภายในร่างกาย มักจะทำให้เป็นผื่นคัน ผื่นนูนแดง ผื่นตุ่มใสๆ ผื่นแบบลมพิษ หรือบางรายอาจมีอาการผมร่วง
วิธีการแยกระหว่างอาการทางผิวหนังปกติกับอาการผิวหนังปกติ สังเกตุจากอาการผลข้างเคียงจาก Long covid อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เป็นไข้ ตัวร้อน ปวดหัว อ่อนเพลีย หากพบ “อาการลองโควิด” ที่มีผลกระทบจากผิวหนังให้ดูตัวเองด้วยการทาโลชัน ไม่เกาบริเวณที่คัน แต่ให้ลูบเบา ๆ ในจุดที่คันแทน
6.อาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะจิตใจ
จากข้อมูลพบว่า หลังจากที่หายจากโควิดพบว่าผู้ป่วยกว่า 32.1% มีภาวะซึมเศร้าเป็นเวลานาน โดยอาจมีผลกระทบต่อระบบประสาทโดยตรงที่ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติ และทางจิตใจที่เกิดจากสภาวะจิตใจของผู้ป่วย อย่างไรก็ตามผู้ที่เคยป่วยโควิด และคนใกล้ชิดสามารถดูแลจิตใจหลังจากหายโควิดได้ ดังนี้
– หางานอดิเรกทำ
-ทำกิจกรรม พูดคุบกับครอบครัว
-หลีกเลี่ยงข่าว หรือสถานการณ์ที่จะทำให้เกิดภาวะเครียด
-หากยังไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
ขอบคุณข้อมูลจาก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก