โรคกลัวสังคมในเด็ก – เด็กแต่ละคนมีนิสัยที่แตกต่างกันออกไป บางคนกล้าแสดงออก บางคนขี้อาย หรือบางคนพูดเก่ง แต่เด็กอีกหลายคนก็อาจพูดน้อย ชอบที่จะอยู่เงียบๆ หรือไม่แสดงออกมากนักเวลาอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย อย่างไรก็ตามพฤติกรรมที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้เป็นความผิดปกติที่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด หากเด็กๆ ยังมีความสุขในการใช้ชีวิต กินอิ่ม นอนหลับ ได้อย่างปกติสุข และมีความสุขสนุกสนานตามประสาของวัยเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่ถ้าหากพฤติกรรมที่แสดงออกโดยเฉพาะการต้องพบเจอคนแปลกหน้า หรือแม้แต่คนในครอบครัวดูแปลกไปอย่างผิดสังเกต เช่น ลูกไม่กล้าสบตาเวลาพูดด้วย เหงื่อออกมาก ตัวสั่น พูดเสียงสั่น พึมพำอยู่ในลำคอ และทำทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์บางอย่าง ลูกของคุณอาจ กำลังเข้าข่ายป่วยเป็น “โรคกลัวสังคม” ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อผลของการรักษาที่น่าพอใจ
ทำความเข้าใจ โรคกลัวสังคมในเด็ก (Social Anxiety) รู้เร็ว รักษาได้!
โรคกลัวสังคมคืออะไร?
ความรู้สึกหวาดกลัวทางสังคม แตกต่างจากความเขินอาย เนื่องจากเด็กที่ขี้อายอาจแค่เพียงรู้สึกไม่สบายใจบ้างเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นแต่ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงต่อสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งต่างจากเด็กที่ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม ความหวาดกลัวทางสังคมอาจทำให้เด็กที่ป่วย เกิดความบกพร่องในการทำงานตามปกติที่ควรจะเป็น และอาจส่งผลให้เกิดการแยกตัวทางสังคมด้วยความกลัวอย่างแรงกล้าต่อสถานการณ์ทางสังคมที่เด็กอาจกลัวการถูกตัดสิน จับจ้อง หรือจับผิดจากผู้อื่น
โรคกลัวสังคม หรือ วิตกกังวลทางสังคม (Social Anxiety) เป็นความวิตกกังวลชนิดหนึ่งที่อาจทำให้เด็กรู้สึกกังวลอย่างมาก ว่าจะถูกปฏิเสธหรือถูกตัดสินในแง่ลบจากผู้อื่น พวกเขารู้สึกกลัวจนมีอาการผิดปกติอย่างมากทางกาย และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงในการทำสิ่งที่ต้องการหรือจำเป็นต้องทำ
สาเหตุของโรคกลัวสังคม
ความหวาดกลัวเป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่กระตุ้นการตอบสนอง “ต่อสู้หรือหนี” และสร้างความรู้สึกของอันตรายที่ใกล้เข้ามาซึ่งเกินกับความเป็นจริงของสถานการณ์ เด็กสามารถพัฒนาโรควิตกกังวลได้ด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่ :
ปัจจัยทางชีววิทยา : สมองมีสารเคมีพิเศษที่เรียกว่าสารสื่อประสาท ซึ่งส่งข้อความไปมาเพื่อควบคุมความรู้สึกของบุคคล เซโรโทนินและโดปามีนเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญสองชนิด ซึ่งเมื่อ “หมดสติ” อาจทำให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลได้
ปัจจัยด้านครอบครัว : ความวิตกกังวลและความกลัวเป็นสิ่งที่สามารถส่งต่อแบบรุ่นสู่รุ่นได้ เช่น เดียวกับที่เด็กสามารถสืบทอดผมสีน้ำตาล ตาสีเขียว และสายตาสั้นของพ่อแม่ได้ เด็กก็สามารถสืบทอดแนวโน้มที่ผู้ปกครองมีความวิตกกังวลมากเกินไปได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้เด็กอาจเรียนรู้ความวิตกกังวลจากสมาชิกในครอบครัวและคนอื่นๆ ที่มีความเครียดหรือวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น เด็กที่พ่อแม่แสดงความกลัวอย่างมากต่อแมงมุม อาจเรียนรู้ที่จะกลัวแมงมุมด้วยเช่นเดียวกัน
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม : ประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ (เช่น การหย่าร้าง การเจ็บป่วย หรือการเสียชีวิตในครอบครัว) หรือแม้แต่เหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น การเปิดเทอมการต้องเจอผู้คนใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย ก็อาจทำให้เกิดโรคกลัวสังคมหรือวิตกกังวลทางสังคมได้เช่นเดียวกัน
ประเภทของโรคกลัวสังคมในเด็ก
ลูกษณะของการกลัวสังคมในเด็ก เด็กอาจแบ่งประเภทออกได้ต่อไปนี้
- ความหวาดกลัวแบบเฉพาะเจาะจง เด็กที่มีความหวาดกลัวเฉพาะ จะรู้สึกและแสดงความกลัวอย่างแรงกล้าต่อบุคคล หรือ ประเภทของบุคคล สถานที่ วัตถุ กิจกรรม หรือสถานการณ์ที่ต้องพบเจอ
- กลัวแบบตื่นตระหนก (Panic Disorder) แม้ว่าส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว แต่สามารถเกิดกับเด็กได้ ความผิดปกตินี้ทำให้เกิดความกลัวและวิตกกังวลรุนแรงที่คาดไม่ถึง และคาดเดาไม่ได้ ซึ่งมักเป็นการตอบสนองต่อ “สิ่งกระตุ้น” ที่อาจไม่ชัดเจน
- โรคกลัวที่ชุมชน (Agoraphobia) เด็กบางคนประสบกับโรคตื่นตระหนกร่วมกับอาการหวาดกลัวที่ชุมชน (agoraphobia) เป็นความหวาดกลัวอย่างแรงกล้าต่อโลกภายนอก ในกรณีเหล่านี้ เด็ก ๆ มักกลัวที่จะเผชิญหน้าหรือประสบกับสิ่งที่ตนเองกลัวจนรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เว้นแต่อยู่ที่บ้าน
อาการของโรคกลัวสังคม
โรคกลัวสังคมในเด็กโดยส่วนใหญ่พบว่ามักเริ่มมีอาการเมื่อเด็กอายุประมาณ 8 ถึง 15 ปี ความผิดปกติต่างๆ สามารถตรวจสอบได้จากประวัติในวัยเด็ก เช่น ความประหม่าในการเข้าสังคม ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ รวมถึงการโดนกลั่นแกล้ง
เด็กที่แพทย์ลงความเห็นว่าป่วยเป็นโรคกลัวสังคม ได้แก่ เด็กที่มีความกลัว หรือ มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางสังคมอย่างน้อยหนึ่งสถานการณ์ ต่อไปนี้
- กลัวการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น
- กลัวการถูกสังเกตหรือจ้องมองโดยผู้อื่น
- กลัวการต้องแสดงออกต่อหน้าผู้อื่น
นอกจากนี้ อาการ อื่น ๆ ของโรควิตกกังวลทางสังคม ยังมีอีกหลายรูปแบบ อาทิ
- กลัวการถูกประเมินในทางลบ
- ฉุนเฉียว ร้องไห้ เยือกเย็น ไม่พูดจา เมื่อเกิดความวิตกกังวล
- หลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคมเพราะรู้สึกกลัวและกังวลอย่างรุนแรง
- วิตกกังวลและกลัวเกินกว่าความเป็นจริงไปมาก
- หลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้กลัว นานกว่า 6 เดือนขึ้นไป
- ทุกข์ทรมาน ในการเข้าสังคม เช่น ในโรงเรียน ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว
- กลัวล่วงหน้านานหลายสัปดาห์ ก่อนที่กิจกรรมที่ทำให้กลัว จะเกิดขึ้น เช่น การต้องพูดหน้าชั้นเรียน
- ยึดติดกับคนที่สนิทหรือคุ้นเคยมากเกินไป
- มีอาการทางร่างกาย หน้าแดง หัวใจเต้นแรง เสียงสั่น ตัวสั่น คลื่นไส้ พูดลำบาก เมื่อต้องพูดในระหว่างที่มีคนจับจ้อง
การรักษาโรคกลัวสังคม
หลังจากการประเมินอาการและซักประวัติต่างๆ อย่างเต็มรูปแบบ จิตแพทย์จะประเมินทางเลือกในการรักษาโดยดูตามอาการ ทั้งการรักษาด้วยการ
- บำบัดทางความคิด และพฤติกรรม หรือที่เรียกว่าจิตบำบัด (CBT)
- การใช้ยาบางชนิด ซึ่งมีประโยชน์ในการรักษาอาการในเด็ก
โดยวิธีบำบัดแบบ CBT หรือ จิตบำบัด นักบำบัดจะสอนทักษะการเข้าสังคมแบบใหม่ให้เด็กรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ เด็กจะได้รับคำแนะนำในการระบุถึงสถานการณ์ที่ท้าทาย เช่น การพูดหน้าชั้นเรียน การคุยโทรศัพท์ หรือการขอความช่วยเหลือ ด้วยความช่วยเหลือของนักบำบัด เด็กๆ จะได้เรียนรู้ที่จะค่อยๆ เผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ โดยใช้ทักษะใหม่ๆ ส่วนยาที่ใช้ในการรักษาโรคกลัวสังคมในปัจจุบัน เรียกว่า selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) ซึ่งยาเหล่านี้จะส่งผลต่อสารสื่อประสาท (เซลล์ประสาทในสมองที่ส่งสัญญาณ) ที่เชื่อมโยงกับความวิตกกังวล ซึ่งออกฤทธิ์ช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินในสมอง ทั้งนี้หากเด็กที่ป่วยได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะมีโอกาสหายเป็นปกติได้สูงและไม่ส่งผลกระทบเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
วิธีช่วยให้ลูกรับมือกับโรคกลัวสังคม
ขั้นตอนแรกที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้บุตรหลานของคุณรับมือกับเรื่องนี้ได้คือการชี้แนะ เด็กที่เป็นโรควิตกกังวลทางสังคมรู้ว่าตนเองรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวลในสถานการณ์ต่างๆ แต่บางครั้งเด็กๆ อาจไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องรู้สึกแบบนี้
การช่วยให้พวกเขาเชื่อมโยงจุดต่างๆ ระหว่าง การตอบสนองทางอารมณ์ อาการทางร่างกาย และสิ่งกระตุ้นที่ทำให้รู้สึกกลัว เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเรียนรู้ที่จะรับมือกับความกลัวได้ การให้ความรู้ลูกของคุณเกี่ยวกับวิธีการที่ความวิตกกังวลส่งผลต่อการคิด และพฤติกรรม เป็นสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์เชิงลบ และขุ่นมัวที่เกิดขึ้น
สอนวิธีผ่อนคลาย
เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีต่างๆ เพื่อนำใช้เมื่อรู้สึกกระวนกระวายใจ ซึ่งขั้นตอนแรกคือการเรียนรู้ที่จะสงบสติอารมณ์เมื่อเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี คือ
- การหายใจลึกๆ สอนลูกของคุณให้นึกภาพการเป่าลูกโป่งขณะหายใจเข้าลึกๆ นับลูกของคุณออกเพื่อช่วยชะลอการหายใจ (4 ใน 4 ค้างไว้ 4 ออก)
- ภาพที่มีคำแนะนำ ลูกของคุณสามารถผจญภัยที่ผ่อนคลายในใจขณะหายใจเข้าลึกๆ บอกเล่าเรื่องราวสั้นๆ ด้วยเสียงที่เบาและสม่ำเสมอเพื่อช่วยให้บุตรหลานของคุณหาจุดศูนย์กลางของเธอเจอ
- การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เด็กที่วิตกกังวลมักจะเกร็งกล้ามเนื้อเมื่ออยู่ภายใต้ความเครียด สอนลูกของคุณให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและคลายความตึงเครียดโดยเริ่มจากมือและแขนของเธอ กำหมัดแน่นเป็นเวลาห้าวินาทีแล้วค่อยปล่อย ย้ายไปที่แขน คอ และไหล่ และเท้าและขา
สอนการตีกรอบความคิด
เด็กที่เป็นโรควิตกกังวลทางสังคมมักถูกครอบงำด้วยความเชื่อเชิงลบที่ตอกย้ำความคิดวิตกกังวลของพวกเขา ความเชื่อของพวกเขามักจะจัดอยู่ในประเภทต่อไปนี้
- สมมติสถานการณ์กรณีที่เลวร้ายที่สุด
- เชื่อว่าตัวเองดูไม่ดีในสายตาคนอื่น
- คิดลบมากเกินไปต่อเหตุการณ์ที่ดูปกติธรรมดา
สอนลูกของคุณให้รู้จักความคิดเชิงลบ ผลของความคิดเชิงลบ และแทนที่ด้วยความคิดเชิงบวก หากลูกของคุณมักจะพูดว่า “ครูคิดว่าหนูโง่เพราะหนูอ่านหนังสือไม่เก่ง” ให้ช่วยลูกได้รับรู้ถึงความคิดเชิงลบนี้ และให้เหตุผลว่าในความเป็นจริง งานของครูคือการช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ ไม่ใช้คอยตัดสินว่าเด็กแต่ละคนฉลาดหรือโง่ และแทนที่ด้วยความคิดเชิงบวก เช่น “หนูอ่านหนังสือไม่เก่ง แต่ครูจะช่วยให้หนูอ่านดีขึ้นได้”
สอนทักษะการแก้ปัญหา
เด็กที่เป็นโรคกลัวสังคม หรือ วิตกกังวลทางสังคมมักหาวิธีหลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ในที่สุด พวกเขาทำในสิ่งที่จะทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องมีส่วนร่วมในสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งจะทำให้ความวิตกกังวลทางสังคมแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
สอนลูกของคุณให้ต่อสู้กับความรู้สึกกลัวและวิตกกังวล โดยการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา หากเด็กกลัวการพูดในที่สาธารณะ อาจให้เด็กๆ ฝึกพูดที่บ้านหน้ากระจกได้หลาย ๆ ครั้งจนชิน ให้ใครซักคนถ่ายวิดีโอเอาไว้ดูย้อนหลัง ฝึกทำใบหน้าที่เป็นมิตรในห้อง และฝึกการสบตา ฝึกการหายใจลึกๆ เพื่อระงับความรู้สึกวิตกกังวล ช่วยลูกของคุณเล่าถึงสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกระหว่างที่ต้องแสดงออก ระดมความคิดเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่สามารถปฏิบัติตามแนวทางในการช่วยเหลือลูกให้ห่างไกลจากโรคกลัวสังคมได้ จะช่วยเสริมทักษะความฉลาดที่รอบด้านให้กับลูกๆ ด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : psycom.net , raisingchildren.net.au , childrenshospital.org