เรื่องตาบอดคลำช้าง
มีคนตาบอดหกคน ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันอยู่ที่บ้านจันตคาม คนตาบอดทั้งหกได้เดินออกมาคุยกันตามทางว่า
“เราจะพาไปตั้งวงดนตรีจะไปไหม?” “เราก็อยากร้องเพลงแบบนั้นแบบนี้นะ”
ตาบอดคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “นายจะร้องได้ไหม?”
อีกคนตอบ “มันจะยากอะไร”
เมื่อคุยกันได้สักพัก ก็มีเจ้าเมืองซึ่งเป็นเจ้านายขี่ช้างมาตามทางแล้วก็ตะโกนขึ้นมาว่า
“หลบทางช้างเดินด้วย หลบท้างช้างเดินด้วย”
ตาบอดคนหนึ่งเลยพูดขึ้นมาว่า “นั่นช้างหรอ”
ตาบอดเลยอยากรู้ว่าช้างเป็นอย่างไร จึงขอเจ้าเมืองจับช้าง เจ้าเมืองจึงอนุญาตและให้คนตาบอดเข้ามาจับช้างได้ทีละคน
ตาบอดคนแรกเข้าเดินเข้าไปทางหางช้าง และเข้าไปจับที่หาง แล้วพูดขึ้นมาว่า
“โอ้โห ช้างนี่มันเหมือนไม้กวาดเลย”
คนที่สองเข้ามาไปจับโดนตรงขาช้าง แล้วก็บอกว่า
“ช้างนี่เหมือนสูบตีเหล็กนะ”
คนที่สามเข้ามาทางด้านข้างของช้าง ก็จับดูทางด้านข้าง
“โอ้ ช้างนี่เหมือนผนังยุ้งข้าวเลย”
คนที่สี่เข้ามาถึง ก็จับไปโดนหูช้าง
“โอ้ ช้างนี่เหมือนภาชนะสำหรับฝัดข้าวเลย”
พอคนที่ห้าเข้ามาถึง ก็เข้าไปจับโดนมือช้างหรืองวงช้าง ก็พูดว่า
“โอ้ช้างนี่มันเหมือนปลิงเลย ปลิงตัวใหญ่ด้วย”
พอคนที่หกเข้ามาถึง ก็ไปจับโดนตรงส่วนของงาช้าง กระดูกหรือแก่นของงาช้าง อุทานว่า
“ปัดโธ่เหมือนด้ามมีดตะขอเลย”
ตาบอดทั้งหกเข้าใจว่าช้างมีลักษณะเป็นอย่างที่ตัวเองไปจับ จากนั้นเจ้าเมืองจึงขี่ช้างเดินทางต่อไป ตาบอดทั้งหกจึงเดินไปตามทางและไปหยุดที่ใต้ต้นมะกอก เพื่อพักให้หายเหนื่อย ตาบอดคนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า
“เอ้า พวกแกว่าช้างเหมือนอะไร?”
“เราว่าช้างเหมือนปลิง” คนหนึ่งพูดขึ้นมา
“มันไม่ใช่หรอกแก ไม่ใช่ช้างนี่เหมือนสูบตีเหล็ก พวกนี้ไม่รู้จักช้าง” อีกคนก็เถียง
ส่วนคนตาบอดที่จับโดนข้างช้างเลยบอกว่า
“ช้างนี้เหมือนผนังยุ้งข้าวสิ”
คนที่จับโดนหางก็บอกว่าช้างนี่เหมือนไม้กวาดที่กวาดบ้าน คนที่หกกล่าวว่าช้างเหมือนตะขอมีด ตะขอสำหรับฟันไม้
ไม่นานนักมะกอกลูกสุกก็หล่นจากต้นตกใส่หัวตาบอดคนหนึ่ง จึงบอกว่าอย่าทะเลาะกันสิ อย่าตีกันเลย อีกคนก็บอกไม่ได้ตี ไอ้ลูกนี่มันโดนหัวนี่ สักพักก็ตกใส่หัวอีก ตาบอดจึงนึกว่าเพื่อนมาทำร้ายเนื่องจากถกเถียงกันเรื่องลักษณะของช้างที่แต่ละคนไปจับมา ตาบอดทั้งหกจึงทะเลาะทุบตีกันเป็นพัลวัน
บริบทของนิทาน
นิทานเพื่อสั่งสอนเด็ก ๆ ให้เห็นให้แท้ค่อยนำมาอธิบาย
คติสอนใจ
คนที่รู้อะไรเพียงด้านเดียวหรือรู้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่รู้ความจริงถ่องแท้แต่เข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองรู้นั้นถูกต้องที่สุด ของคนอื่นไม่จริง ไม่ถูกต้อง
เรื่องตำนานกุดนางใย
ครั้งโบราณที่บริเวณแหล่งน้ำกุดนางใย(ในปัจจุบัน)
มีครอบครัวหนึ่งตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ มีแม่และลูกชาย ภายหลังลูกสะใภ้ได้มาอยู่ร่วมกัน มาวันหนึ่งลูกชายได้ไปขายของทางไกล
แม่และลูกสะใภ้อยู่บ้านเพียงสองคน คืนหนึ่งแม่ผัวสังเกตเห็นว่าห้องนอนของลูกสะใภ้จุดตะเกียงตลอดคืน
คืนหนึ่งแม่ผัวสงสัยจึงไปแอบดูว่า ลูกสะใภ้ทำอะไรอยู่ในห้อง แล้วเห็นว่าลูกสะใภ้กำลังสาวใยไหม
ออกจากปากตัวเองมาม้วนเข้าฝัก จึงเกิดความกลัว นึกว่าลูกสะใภ้เป็นภูตผีเข้าไปในห้อง ซักถาม และให้ร้ายว่าเป็นภูตผีปีศาจ ทำให้ลูกสะใภ้อับอายจนหนีออกจากบ้านไป กระโดดลงลำน้ำ(กุดนางใย) เมื่อลูกชายกลับมารู้เรื่องราวได้แต่เศร้าโศกเสียใจ
เมื่อถึงคืนเดือนหงายจะไปนั่งริมน้ำ และจ้องมองลงไปในสายน้ำเข้าไปนานๆ ก็จะมองเห็นภรรยาในน้ำนั้น และสาวใยไหมออกจากปาก ต่อมาที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่า กุดนางใย (ใยมาจากใยไหม)
บริบทของนิทาน
เล่าถึงตำนานความรักของหนุ่มที่มีต่อสาวที่สามารถซักใยออกจากปาก
คติสอนใจ
อย่าด่วนตัดสินคนที่การเห็นเพียงอย่างเดียว มีแง่มุมของความรักที่มั่นคงของสามีนางใย
เรื่องสั้น ตำนานไทย เรื่องเล่าก่อนนอนสนุกๆ พร้อมคติสอนใจ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอให้เด็กๆ สนุกและมีความสุขกับเรื่องที่นำมาฝากนะคะ
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://th.wikipedia.org, https://www.sac.or.th
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่